เปิดต้นทุน PTT ถือหุ้น 3 บริษัทใหญ่ในเครือ PTTGC-TOP-IRPC พบมูลค่ารวม 9.93 หมื่นลบ. โบรกฯ คาดแผนลดสัดส่วนจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้
จากกรณี PTT อยู่ระหว่างมองหา Potential Investor รายใหม่เพื่อลดสัดส่วนการลงทุน และเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมในการดำเนินธุรกิจการกลั่น และ ปิโตรเคมีในบริษัท PTTGC TOP IRPC เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถการแข่งขันท่ามกลางภาวะอุตสาหกรรมที่ท้าทายในปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนจำหน่ายธุรกิจที่ไม่สร้างกำไรเพื่อ เพิ่มศักยภาพให้ผลประกอบการโดยรวมนั้น
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว หากพิจารณาจุดยืน PTT ที่การขายจะต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มภาพรวมให้กับกลุ่มเป็นสำคัญ เทียบหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มวานนี้ที่ปรับตัวลงรับข่าวดังกล่าว มองระยะสั้นหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว ทั้งนี้ โดยรวมยังถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อทั้งด้านราคาขายหุ้นในกลุ่มและ Synergy ที่เข้ามาแทน รวมถึงแผนการนำสภาพคล่องที่ได้เข้ามาไปต่อยอดเพิ่มเติม
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า มีมุมมองเป็นกลางกับข่าวนี้ เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มที่จะต้องใช้เวลานานในการศึกษาและทำตามกระบวนการก่อนที่จะได้ข้อสรุป ทั้งนี้ยังไม่มีการตัดสินใจขายหุ้นอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด โดยต้นทุนลงทุนของ PTT ใน PTTGC TOP และ IRPC มีมูลค่ารวม 9.93 หมื่นล้านบาท
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า การหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และการจำหน่ายธุรกิจที่ไม่สร้างกำไรออกจาก Portfolio เป็นกลยุทธ์ที่ผู้บริหาร PTT ให้ข้อมูลไว้ก่อนหน้า
ส่วนข่าวการพิจารณาลดสัดส่วนลงทุนในบริษัท Flagship เช่น PTTGC TOP IRPC ถือว่าสร้างความ Surprise ให้กับตลาด เนื่องจากก่อนหน้านี้ เชื่อว่าการหาพันธมิตรร่วมลงทุนจะอยู่ในระดับโครงการ หรือบริษัทอื่นที่ PTT หรือ Flagship เข้าไปลงทุน
อย่างไรก็ตาม จากการเช็คสอบข้อมูลคาดว่าปัจจุบันแผนลดสัดส่วนลงทุนใน Flagship ของ PTT ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นศึกษา ยังไม่มีการพูดคุยกับ Potential Partner รายใดๆ
อีกทั้ง PTT ยังคงต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีอำนาจควบคุมใน PTTGC TOP IRPC เพื่อเป็นบริษัท Flagship ด้านธุรกิจการกลั่น ปิโตรเคมีของเครือ PTT เหมือนเดิม
ดังนั้นมองว่าอนาคตข้างหน้า PTT อาจมีการลดสัดส่วนบริษัท Flagship ดังกล่าวบ้าง หากมีพันธมิตรที่สามารถเพิ่มความศักยภาพการแข่งขันให้แก่ธุรกิจได้ ซึ่งอาจทำให้ PTT มีกระแสเงินสดเข้ามา
อย่างไรก็ตามเชื่อว่านักลงทุนไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าวมากนัก เพราะ PTT น่าจะนำเงินทุนไปต่อยอดในธุรกิจ Hydrocarbon อื่น หรือธุรกิจใหม่ที่มีความยั่งยืน เช่น Hydrogen และ CCS เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero รวมถึงเชื่อว่าการลดสัดส่วนลงทุนจะยังไม่น่าเกิดขึ้น เร็วๆ นี้
โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 1 แสนล้านบาท แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 อาจมีบันทึกกำไรจากเงินบาทแข็งค่า และไม่มีการให้ส่วนลดราคาก๊าซย้อนหลัง (Retroactive) ตามโครงสร้างราคา Single Pool เหมือนไตรมาส 2/67 แต่ภาพรวมผลการดำเนินงานไม่เด่น เพราะ
1.ปริมาณขายก๊าซจะชะลอลงหลังผ่านฤดูร้อน และเข้าสู่ High Season ของการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อน 2. แผนปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซที่ #1 และ #6 3. ปริมาณขายพลังงานต้นน้ำชะลอตัวตามแผนหยุดซ่อมบำรุง 4. ความเสี่ยงขาดทุนสต็อกน้ำมันของธุรกิจโรงกลั่น – ค้าปลีกน้ำมัน
ดังนั้นคงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 38.00 บาท ระยะสั้นหุ้นอาจประคองตัวได้ดีกว่ากลุ่มฯ เพราะเป็นหุ้นใหญ่มีโอกาสได้อานิสงส์เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ และเงินปันผลงวดครึ่งแรกปี 67 ที่ 0.80 บาท/หุ้น (Yield 2.3%) ขึ้น XD วันที่ 28 ส.ค. ช่วยจำกัด Downside