สำหรับปัจจัยการเมืองหลังจากที่คุกรุ่นมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ในวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมานี้ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 จึงเป็นปัจจัยที่ปลดล็อกการเมืองได้อีกหนึ่งชั้น ซึ่งสิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้ก็คือหน้าตาของทีมคณะรัฐมนตรีทั้งหมดจะมีรวมกันไม่เกิน 35 เก้าอี้
แต่อย่างไรก็ดี สำหรับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจจะกำหนดถึงทิศทางในอนาคตด้วยเช่นกัน ซึ่งอย่างนักลงทุนก็ต้องปรับกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีความน่าสนใจหรือธีมลงทุนที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนได้ดี ดังนั้นในวันนี้เราจึงรวบรวมมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจมาแบ่งปันกัน
โดยนายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ให้มุมมองว่า ด้วยสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่อยู่ระหว่างจัดตั้งทีมครม. จึงทำให้นโยบายต่างๆด้านเศรษฐกิจของทีมรัฐบาลชุดใหม่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งรวมไปถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่าจะไปต่อหรือจะยุติโครงการ
แต่ด้วยสัญญาณการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่ยังคงกันงบประมาณไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณปี 2567 1.2 แสนล้านบาทและงบกลาง 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็มีความเป็นไปไว้ที่จะเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่อาจจะดึงงบประมาณและงบกลางในปี 2568 มาช่วยเสริมในการออกมาตรการดังกล่าว
สำหรับกลุ่มหุ้นที่จะได้รับประโยชน์ก็คือ หุ้นกลุ่มการบริโภคในประเทศ หุ้นกลุ่มค้าปลีก และหุ้นกลุ่มสินเชื่อ อย่างไรก็ดีหากมียุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลก็จำเป็นจะต้องนำเม็ดเงิน 1.6 แสนล้านบาท มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี ซึ่งก็จะช่วยสนับสนุน หุ้นกลุ่มการบริโภคในประเทศ หุ้นกลุ่มค้าปลีก และหุ้นกลุ่มสินเชื่อ ได้ด้วยเช่นกัน
ด้าน นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ให้มุมมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่เคลื่อนไหวกรอบ 1,300 จุด เป็นจุดที่น่าสนใจ ซึ่งอาจจะปรับขึ้นมาค่อนข้างรวดเร็วและแรงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่หากดัชนีมีการปรับตัวก็ถือเป็นที่น่าทยอยสะสม
ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจยังคงเป็นหุ้นที่อิงกับภาคการบริโภคในประเทศ อย่างกลุ่มหุ้นค้าปลีก ที่จะรับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมไปถึงหุ้นกลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์ ที่จะช่วยให้ฐานลูกระดับล่างมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น สุดท้ายหุ้นกลุ่มรับเหมา ที่ได้รับประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองถึงปัจจัยการเมืองในประเทศ - พรรคร่วมรัฐบาลทยอยส่งชื่อ ครม. ให้นายกฯพิจารณา คาดได้ข้อสรุปหน้าตา ครม. ชุดใหม่ในสัปดาห์นี้ ก่อนจะพิจารณาคุณสมบัติราว 1 สัปดาห์ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ และถวายสัตย์ปฏิญาณต่อไป
โดยคาดว่าแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลจะยังยึดกระทรวงเดิมไว้ก่อน เช่นเดียวกับตำแหน่ง รมว.คลังจากพรรคเพื่อไทย ยังมีโอกาสเป็นคุณพิชัยเช่นเดิม เพราะสามารถผสานหน่วยงานด้านเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี และสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้โดยเฉพาะการเดินหน้ากองทุนวายุภักษ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งความคืบหน้าด้านการเมืองที่ยังเป็นบวก ถือเป็น Sentiment เชิงบวกให้กับ Domestic Play เช่น ค้าปลีก, อาหารเครื่องดื่ม, ธนาคารพาณิชย์, ไฟแนนซ์, และรับเหมาก่อสร้าง
พร้อมกันนี้ คาดการเบิกจ่ายงบประมาณมีโอกาสเร่งตัวขึ้น หลังช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. เบิกจ่ายได้ล่าช้าเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง โดยยอดเบิกจ่ายรวม ณ 9 ส.ค. 2567 อยู่ที่เพียง 78.6% ของงบประมาณรวม คงเหลืออีก 21.4% ที่ต้องเบิกจ่ายภายในเดือน 30 ก.ย. 2567
ขณะที่ งบลงทุนเบิกจ่ายเพียง 45% คงเหลืออีก 55% ของงบที่ตั้งไว้ หรือเหลือเบิกจ่าย อีก 4 แสนล้านบาท ทำให้เราคาดว่าจะเห็นการอนุมัติงานคงค้างออกมามากขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกเชิง Sentiment ต่อ กลุ่มรับเหมาฯ วัสดุก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ และ SI เช่น CK, STEC, KTB, SCB, BE8, I2, LTS