Talk of The Town

ปรับกลยุทธ์เทรด รับมือวิกฤตน้ำท่วม โบรกฯ ชี้รอบนี้ยังไม่หนักเท่าปี 54 แนะ 10 หุ้น มีโอกาสเด่นกว่าตลาด


26 สิงหาคม 2567

น้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ ในภาคเหนือ จากปริมาณน้ำฝนที่เร่งตัวขึ้นมากกว่าค่าปกติในจังหวัดเชียงรายแพร่และน่านส่งผลให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดปรากฏการณ์น้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 หรือไม่ 

ปรับกลยุทธ์เทรด copy_0.jpg

แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ไม่เหมือนปี 2554 คาดว่าปริมาณน้ำฝนจะผ่านจุด Peak ใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ดังนั้นในแวดวงการลงทุน จะเทรดอย่างไรให้ได้ผลตอบแทน ท่ามกลางวิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือยังวิกฤติหลายพื้นที่ โดยมีสาเหตุจากปริมาณน้ำฝนที่เร่งตัวขึ้นเร็วตั้งแต่กลางเดือน ส.ค.ใน 3 พื้นที่หลักคือจังหวัดเชียงรายแพร่และน่าน มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปีย้อนหลัง ซึ่งเป็น 3 จังหวัดที่อยู่ติดกัน

ทั้งนี้จึงทำให้ปริมาณน้ำฝนสะสมมากและเกิดเป็นมวลน้ำขนาดใหญ่ไหลท่วมหลายพื้นที่ในภาคเหนือส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายส่วนได้รับผลกระทบ 

โดย GDP ของภาคเหนือคิดเป็น 10%ของ GDP ทั้งประเทศ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์แรงลมมรสุมยังมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในช่วงวันที่ 26-29 ส.ค.ก่อนจะอ่อนกำลังลงหลังจากนั้น ทำให้ฝนตกบริเวณภาคเหนือเริ่มลดระดับลงซึ่งถ้าไม่มีมรสุมหรือพายุลูกใหม่เข้ามาอีกคาดว่าปริมาณน้ำฝนจะผ่านจุด Peak ใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า

ขณะที่ ถ้าพิจารณาจากภาพรวมของสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันถือว่ายังไม่เข้าเงื่อนไขน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่มีพายุใหญ่หลายลูก,ปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าปกติ, และปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในระดับสูง

แต่ปีนี้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติคาดมีพายุผ่านประเทศไทย 2 ลูกเทียบกับปี 2554 ที่มากถึง 5 ลูก,ปริมาณน้ำฝนสะสมเดือนม.ค.-ส.ค.ต่ำกว่าค่าปกติประมาณ 4%เทียบกับปี 2554 สูงกว่าค่าปกติ 24%,และปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของภาคเหนืออยู่ที่ 54% ของความจุเทียบกับปี 2554 ที่สูงถึง 82%ของความจุ

เพราะฉะนั้นโอกาสเกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 จึงยังอยู่ในระดับต่ำแต่ยังต้องติดตามภาวะน้ำท่วมสูงในหลายพื้นที่ที่อาจกระทบภาคการเกษตร,นิคมอุตสาหกรรม,และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งคาดเป็นปัจจัยฉุด GDP ในช่วงไตรมาส 3/67 ระดับ-0.1%

ทั้งนี้การ ศึกษาข้อมูลในอดีตช่วงเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เพื่อพิจารณารูปแบบการเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมว่า มีกลุ่มใดที่ Outperform หรือ Underperform ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ พบว่า SETINDEX ทรุดตัวลงในช่วงกลางเดือนก.ย.ถึงกลางเดือนต.ค.2554 ราว 11% ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาที่เดิมในช่วงปลายเดือนพ.ย.

โดยมีกลุ่มที่ Outperform 4 กลุ่มคือการแพทย์,สื่อสาร,ค้าปลีก,และอาหารเครื่องดื่มส่วนกลุ่มที่ Underperform คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ปิโตรเคมี, ยานยนต์, ขนส่ง, สินค้าเกษตร เป็นต้น

สำหรับความกังวลด้านน้ำท่วมรอบนี้ ยังประเมินกลุ่ม Defensive มีโอกาสเคลื่อนไหวเด่นกว่าตลาด เพราะได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากกระแสเงินทุนทั่วโลกที่เคลื่อนย้ายออกจาก GrowthStock มายัง ValueStock เพื่อรองรับ Global Recession ในอนาคตด้วย

กลุ่มการแพทย์ (BCH,BDMS) จากความกังวลด้านโรคระบาด, กลุ่มค้าปลีก(CPALL, CPAXT, BJC, DOHOME, GLOBAL) จากการจัดหาสินค้าจาเป็นช่วยผู้ประสบภัยและซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลด และกลุ่มอาหารเครื่องดื่มและอื่นๆ (OSP, TASCO, CKP)