จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : NEX เดินหน้าตั้งดีลเลอร์ทั่วประเทศ หนุนเติบโตมั่นใจปีนี้ยอดขายแตะ 2,000 คัน
26 สิงหาคม 2567
กระแสการใช้พลังงานสะอาดในกลุ่มรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกสาขาคมนาคมขนส่ง สนับสนุน บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) ซึ่งผู้บริหารมั่นใจปีนี้ยอดขายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แตะ 2,000 คัน
นางสาวฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล สะท้อนจากยอดจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2561 – พฤษภาคม 2567 รถบัสไฟฟ้ามีจำนวน 2,567 คัน หรือคิดเป็น 5% ของจำนวนยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ขณะที่รถบรรทุกไฟฟ้ามีจำนวน 461 คัน หรือประมาณ 0.20% และรถตู้ไฟฟ้ามีจำนวน 434 คัน หรือประมาณ 0.03%
โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในระยะถัดไป คือ แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกสาขาคมนาคมขนส่ง มาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยสามารถหักภาษีได้ 1.5 - 2 เท่า และภาคเอกชนตื่นตัวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนส่งแบบ Last Mile และแบบเดลิเวอรี่
ขณะที่นายพูนพัฒน์ โลหารชุน กรรมการสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการให้บริการระบบยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ทั้งจัดหาเครื่องชาร์จ แพลตฟอร์ม และการบริหารจัดการรอบด้าน (Platform & Soft Management) กล่าวว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากรถขนส่งเชิงพาณิชย์จากเชื้อเพลิงเดิมสู่รถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (EV Commercial Fleet) เป็นจำนวน 1 แสนคันในปี 2030 จากปัจจุบันที่มีเพียง 3,000 คัน ซึ่งเทียบสัดส่วนไม่ถึง 1% ของยานยนต์ไฟฟ้าในไทย
และด้วยระบบบริหารจัดการของรถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่แตกต่างจากรถไฟฟ้าส่วนบุคคล จากปัจจัยการกำหนดเส้นทาง และการใช้สถานีชาร์จที่มีขนาดแตกต่างกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การออกแบบด้านวิศวกรรมตั้งแต่ต้นจนจบและใช้แพลตฟอร์มไปใช้เพื่อให้เกิด utilization ที่สูงขึ้น
ซึ่งหากคิดถึงรถพลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) นับเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำธุรกิจ จำหน่าย/ให้เช่ารถบัสโดยสาร ซ่อมบำรุง จำหน่ายอะไหล่รถบัสโดยสาร โดยเฉพาะในธุรกิจรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ “นาวิน เสนาะดนตรี” รองผู้อำนวยการสายงานการขายและการตลาด NEX ระบุ บริษัทคาดหวังว่า ปีนี้จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ หากสามารถส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ตามเป้าหมายที่ 2,000 คัน โดยในครึ่งปีหลังมีการปรับกลยุทธ์การขาย และปรับต้นทุนการผลิตต่ำลง ซึ่งเจรจากับซัพพลายเออร์แล้ว
ทั้งนี้ ในปี 67 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 5-6 พันล้านบาท หากส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ 2,000 คันได้ตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้ 2,649 ล้านบาท (ลดลง 56% YoY) จากการส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ จำนวน 628 คัน
ซึ่งหลังจากบริษัทได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย 15 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศเมื่อปลายปีที่แล้ว และแนวโน้มยอดขายตั้งแต่ต้นปีเริ่มปรับดีขึ้น ดีลเลอร์หลายรายสามารถขายสินค้าของบริษัทได้ดีขึ้น ซึ่งต่อไปก็จะพัฒนาช่องทางจำหน่ายเพื่อจับตลาดให้กว้างขึ้น ทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลางและภาคใต้
นอกจากนี้ บริษัทยังดีลขายรถให้กับลูกค้าในต่างประเทศ คาดว่าจะสามารถสรุปดีลได้ภายในปีนี้ ได้แก่ ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเทิร์นอะราวด์ได้หากส่งมอบรถได้ทันในปีนี้
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาด รถบรรทุกไฟฟ้าของ NEX มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 1% ของตลาดรถบรรทุกในช่วง 6 เดือนปี 67 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 0.5% โดยกลุ่มรถบรรทุกดีเซลยังได้รับความนิยมผู้ใช้รถ ขณะที่ตลาดรถบัสไฟฟ้าทั้งแบรนด์ MINE และ NEX มีส่วนแบ่งตลาด 12% เพราะมียอดส่งมอบลดลง ปัจจุบันยอมรับว่ายังอยู่สถานการณ์ถดถอยเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ บริษัทพยายมสรรหาตลาดใหม่ และเข้าสู่การแข่งขันที่ดีขึ้น
หากวิเคราะห์ลึกลงไปในกลุ่ม EV ด้วยกัน ตลาดรถบรรทุก EV นั้น NEX ถือว่าเป็น Market Leader 78% จากอื่นๆ 22% โดย ที่ผ่านมา การเติบโตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ในครึ่งปีหลังก็จะปรับกลยุทธ์ที่จะเร่งส่งมอบและปิดการขายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดรถ BUS EV ของ NEX ยังเป็นผู้นำอยู่ที่ 62% อย่างไรก็ตามบริษัทพยายามเจาะกลุ่มตลาดใหม่ อาทิ รถบัสเพื่อการท่องเที่ยว รถขนส่งผู้พนักงานของบริษัทเอกชย ซึ่งแบรนด์เรา ตลาดยังยอมรับ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งทั้งสองตลาด
ด้านนายยุทธพงษ์ อาจหาญ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบัญชีการเงิน NEX กล่าวว่า ในวันที่ 12 ก.ย. นี้บริษัทจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 เพื่อพิจารณาวาระเพิ่มทุน จะช่วยให้บริษัทได้เงินก้อนใหม่ ทำให้บริษัทในกลุ่มมีสภาพคล่องรวมถึงนำทุนใหม่ไปเจรจาต่อรองซัพพลายเออร์ได้ และผลิตสินค้าตามความต้องการ
นางสาวฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล สะท้อนจากยอดจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2561 – พฤษภาคม 2567 รถบัสไฟฟ้ามีจำนวน 2,567 คัน หรือคิดเป็น 5% ของจำนวนยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ขณะที่รถบรรทุกไฟฟ้ามีจำนวน 461 คัน หรือประมาณ 0.20% และรถตู้ไฟฟ้ามีจำนวน 434 คัน หรือประมาณ 0.03%
โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในระยะถัดไป คือ แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกสาขาคมนาคมขนส่ง มาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยสามารถหักภาษีได้ 1.5 - 2 เท่า และภาคเอกชนตื่นตัวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนส่งแบบ Last Mile และแบบเดลิเวอรี่
ขณะที่นายพูนพัฒน์ โลหารชุน กรรมการสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการให้บริการระบบยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ทั้งจัดหาเครื่องชาร์จ แพลตฟอร์ม และการบริหารจัดการรอบด้าน (Platform & Soft Management) กล่าวว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากรถขนส่งเชิงพาณิชย์จากเชื้อเพลิงเดิมสู่รถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (EV Commercial Fleet) เป็นจำนวน 1 แสนคันในปี 2030 จากปัจจุบันที่มีเพียง 3,000 คัน ซึ่งเทียบสัดส่วนไม่ถึง 1% ของยานยนต์ไฟฟ้าในไทย
และด้วยระบบบริหารจัดการของรถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่แตกต่างจากรถไฟฟ้าส่วนบุคคล จากปัจจัยการกำหนดเส้นทาง และการใช้สถานีชาร์จที่มีขนาดแตกต่างกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การออกแบบด้านวิศวกรรมตั้งแต่ต้นจนจบและใช้แพลตฟอร์มไปใช้เพื่อให้เกิด utilization ที่สูงขึ้น
ซึ่งหากคิดถึงรถพลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) นับเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำธุรกิจ จำหน่าย/ให้เช่ารถบัสโดยสาร ซ่อมบำรุง จำหน่ายอะไหล่รถบัสโดยสาร โดยเฉพาะในธุรกิจรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ “นาวิน เสนาะดนตรี” รองผู้อำนวยการสายงานการขายและการตลาด NEX ระบุ บริษัทคาดหวังว่า ปีนี้จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ หากสามารถส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ตามเป้าหมายที่ 2,000 คัน โดยในครึ่งปีหลังมีการปรับกลยุทธ์การขาย และปรับต้นทุนการผลิตต่ำลง ซึ่งเจรจากับซัพพลายเออร์แล้ว
ทั้งนี้ ในปี 67 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 5-6 พันล้านบาท หากส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ 2,000 คันได้ตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้ 2,649 ล้านบาท (ลดลง 56% YoY) จากการส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ จำนวน 628 คัน
ซึ่งหลังจากบริษัทได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย 15 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศเมื่อปลายปีที่แล้ว และแนวโน้มยอดขายตั้งแต่ต้นปีเริ่มปรับดีขึ้น ดีลเลอร์หลายรายสามารถขายสินค้าของบริษัทได้ดีขึ้น ซึ่งต่อไปก็จะพัฒนาช่องทางจำหน่ายเพื่อจับตลาดให้กว้างขึ้น ทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลางและภาคใต้
นอกจากนี้ บริษัทยังดีลขายรถให้กับลูกค้าในต่างประเทศ คาดว่าจะสามารถสรุปดีลได้ภายในปีนี้ ได้แก่ ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเทิร์นอะราวด์ได้หากส่งมอบรถได้ทันในปีนี้
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาด รถบรรทุกไฟฟ้าของ NEX มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 1% ของตลาดรถบรรทุกในช่วง 6 เดือนปี 67 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 0.5% โดยกลุ่มรถบรรทุกดีเซลยังได้รับความนิยมผู้ใช้รถ ขณะที่ตลาดรถบัสไฟฟ้าทั้งแบรนด์ MINE และ NEX มีส่วนแบ่งตลาด 12% เพราะมียอดส่งมอบลดลง ปัจจุบันยอมรับว่ายังอยู่สถานการณ์ถดถอยเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ บริษัทพยายมสรรหาตลาดใหม่ และเข้าสู่การแข่งขันที่ดีขึ้น
หากวิเคราะห์ลึกลงไปในกลุ่ม EV ด้วยกัน ตลาดรถบรรทุก EV นั้น NEX ถือว่าเป็น Market Leader 78% จากอื่นๆ 22% โดย ที่ผ่านมา การเติบโตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ในครึ่งปีหลังก็จะปรับกลยุทธ์ที่จะเร่งส่งมอบและปิดการขายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดรถ BUS EV ของ NEX ยังเป็นผู้นำอยู่ที่ 62% อย่างไรก็ตามบริษัทพยายามเจาะกลุ่มตลาดใหม่ อาทิ รถบัสเพื่อการท่องเที่ยว รถขนส่งผู้พนักงานของบริษัทเอกชย ซึ่งแบรนด์เรา ตลาดยังยอมรับ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งทั้งสองตลาด
ด้านนายยุทธพงษ์ อาจหาญ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบัญชีการเงิน NEX กล่าวว่า ในวันที่ 12 ก.ย. นี้บริษัทจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 เพื่อพิจารณาวาระเพิ่มทุน จะช่วยให้บริษัทได้เงินก้อนใหม่ ทำให้บริษัทในกลุ่มมีสภาพคล่องรวมถึงนำทุนใหม่ไปเจรจาต่อรองซัพพลายเออร์ได้ และผลิตสินค้าตามความต้องการ