Talk of The Town
หุ้นไทยแรงไปมั๊ย! ได้เวลาลดพอร์ต โยกหาหุ้นที่ยัง Laggard 9 ตัวท็อป AP-LH-QH-CRC-HMPRO-M-BCH-JMT-TIDLOR
27 สิงหาคม 2567
ตลาดหุ้นไทยวิ่ง 7 วันติด ตอบรับนายกฯแพทองธาร จากจุดต่ำสุด 1,280 จุด หลังนายกฯเศรษฐา ถูกถอดถอน จากความคาดหวังรัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภค การลงทุน โดยล่าสุดวันที่ 26 ส.ค.67 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,364 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 84 จุด
ดัชนี SET ยังเดินหน้าขึ้นต่อเนื่อง Outperform ประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เปลี่ยนตัวนายกฯ คนใหม่ การปรับขึ้นรอบนี้มาพร้อมกับความคาดหวังสูง จากนโยบายต่างๆ ที่จะทยอยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงถัดไป
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินว่า ความคาดหวังนี้จะสิ้นสุดลงตรงข่าวดีทางการเมืองสุดท้าย คือการเปิดโผครม.ชุดใหม่ และการแถลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในกลางเดือนกันยายน เมื่อถึงตรงนั้นต้องมาพิจารณาภาพความเป็นจริงหรือปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น
ทั้งนี้ หากมองในแง่ Fundamental ภาพความเป็นจริงยังไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานใดสนับสนุน โดยเฉพาะ Earnings ที่ไม่เห็นสัญญาณการปรับขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นมาของ SET รอบนี้มาจากการถูก Re-rate ตัวคูณหรือ Multiple ซึ่งถือเป็นการกลับตัวคืนเข้าสู่ภาวะปกติเดิมหรือเป็นการกลับเข้าหา Valuation ที่ Base-line scenario นั่นเอง
หากพิจารณาจากพื้นฐาน Valuation อิงตามวิธี PE Model ของเรา จะได้ว่าระดับยุติธรรมของ SET ยังคงอยู่ที่บริเวณเดิม 1,370 จุด ซึ่งเป็นกรณีฐานที่เรามองว่า ค่อนข้าง Bullish ในระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากอิงทั้งในส่วนของประมาณการ EPS ของ SET ปีหน้าที่ 107 บาท (เทียบกับ Consensus ปัจจุบันที่ 103 บาท) และอิงบนสมมติฐานดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีนี้ที่ 2.25% ไปแล้ว (เทียบกับปัจจุบันที่ 250%)
โดยบล.ทรีนีตี้ แนะนำกลยุทธ์การลงทุน อาจแบ่งเป็น 2 แนวทาง สำหรับผู้ที่ถือหุ้นอยู่ คือ 1) ถือ Let Profit run ไปจนถึงการประกาศรายชื่อครม.และการแถลงนโยบายใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีทาง
การเมืองสุดท้ายในระยะสั้น หรือ 2) ถือ Let profit run ไปจนถึงระดับ SET 1,370 จุด ซึ่งตรงกับกรณีฐานตามวิธี PE Model ของเรา ทั้งนี้ หากต้องการสะสมหุ้นในช่วงนี้ที่ SET ขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว มองว่าอาจต้อง Selectiveไปยังหุ้นที่ยังคง Laggard YTD อยู่ ซึ่งหากคัดเฉพาะในกลุ่ม Domestic demand แล้ว จะได้แก่ AP, LH, QH, CRC, HMPRO, M, BCH, JMT, TIDLOR เป็นต้น ระดับ SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีตามวิธี PE Model ของเรา
ดัชนี SET ยังเดินหน้าขึ้นต่อเนื่อง Outperform ประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เปลี่ยนตัวนายกฯ คนใหม่ การปรับขึ้นรอบนี้มาพร้อมกับความคาดหวังสูง จากนโยบายต่างๆ ที่จะทยอยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงถัดไป
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินว่า ความคาดหวังนี้จะสิ้นสุดลงตรงข่าวดีทางการเมืองสุดท้าย คือการเปิดโผครม.ชุดใหม่ และการแถลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในกลางเดือนกันยายน เมื่อถึงตรงนั้นต้องมาพิจารณาภาพความเป็นจริงหรือปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น
ทั้งนี้ หากมองในแง่ Fundamental ภาพความเป็นจริงยังไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานใดสนับสนุน โดยเฉพาะ Earnings ที่ไม่เห็นสัญญาณการปรับขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นมาของ SET รอบนี้มาจากการถูก Re-rate ตัวคูณหรือ Multiple ซึ่งถือเป็นการกลับตัวคืนเข้าสู่ภาวะปกติเดิมหรือเป็นการกลับเข้าหา Valuation ที่ Base-line scenario นั่นเอง
หากพิจารณาจากพื้นฐาน Valuation อิงตามวิธี PE Model ของเรา จะได้ว่าระดับยุติธรรมของ SET ยังคงอยู่ที่บริเวณเดิม 1,370 จุด ซึ่งเป็นกรณีฐานที่เรามองว่า ค่อนข้าง Bullish ในระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากอิงทั้งในส่วนของประมาณการ EPS ของ SET ปีหน้าที่ 107 บาท (เทียบกับ Consensus ปัจจุบันที่ 103 บาท) และอิงบนสมมติฐานดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีนี้ที่ 2.25% ไปแล้ว (เทียบกับปัจจุบันที่ 250%)
โดยบล.ทรีนีตี้ แนะนำกลยุทธ์การลงทุน อาจแบ่งเป็น 2 แนวทาง สำหรับผู้ที่ถือหุ้นอยู่ คือ 1) ถือ Let Profit run ไปจนถึงการประกาศรายชื่อครม.และการแถลงนโยบายใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีทาง
การเมืองสุดท้ายในระยะสั้น หรือ 2) ถือ Let profit run ไปจนถึงระดับ SET 1,370 จุด ซึ่งตรงกับกรณีฐานตามวิธี PE Model ของเรา ทั้งนี้ หากต้องการสะสมหุ้นในช่วงนี้ที่ SET ขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว มองว่าอาจต้อง Selectiveไปยังหุ้นที่ยังคง Laggard YTD อยู่ ซึ่งหากคัดเฉพาะในกลุ่ม Domestic demand แล้ว จะได้แก่ AP, LH, QH, CRC, HMPRO, M, BCH, JMT, TIDLOR เป็นต้น ระดับ SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีตามวิธี PE Model ของเรา