หากพูดถึงนโยบายของภาครัฐในยุคของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ที่นอกจากจะถูกพูดถึงของโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท อยู่บ่อยครั้ง แต่อีกหนึ่งโครงการที่มักจะถูกพูดถึงก็คือ Entertainment Complex แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีความชัดเจนนักแต่ก็จะเห็นความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวในเบื้องต้นจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร พร้อมกับมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มีต่อโครงการและส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยมากน้อยเพียงใด
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่ากระแสความเชื่อมั่นของตลาดต่อการเดินทางนโยบาย Entertainment Complex เพิ่มขึ้น หลังราชตฤณสมาคมประกาศลงทุนเม็ดเงิน 2 แสนล้านบาท หากอิงธุรกิจที่วางในโครงการดังกล่าว อาทิ กาสิโนถูกกฎหมาย สนามม้า โรงแรม 6 ดาว สนามกอล์ฟ ยอร์ชคลับ ภัตตาคารหรู โรงพยาบาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศูนย์การเรียนรู้ รวมถึงกิจกรรมกีฬาและบันเทิงอื่นๆ
ดังนั้น ประเมินโครงการขนาดย่อยที่มีจำนวนมากบวกกับภาพยอร์ชคลับ น่าจะจุดบ่งชี้สถานที่เป้าหมายได้ระดับหนึ่งว่าควรจะเป็นที่ดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำ โดยในส่วนกรุงเทพปัจจุบันที่ดินเข้าข่าย คือ ท่าเรือคลองเตย ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และรัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงอยู่แล้ว
ทั้งนี้ แม้กลไกก่อนที่โครงการจะเกิดขึ้นยังต้องใช้เวลา แม้อาจมีภาพการลงทุนโครงการ Mixed Use โดยยังไม่รวมโครงการกาสิโนที่รอข้อกฎหมายนำไปก่อน แต่หากมองอนุรักษ์นิยม การลงทุนก็น่าจะเกิดขึ้นหลังจากการผ่านร่าง พ.ร.บ.กฎหมายควบคุมธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในช่วง Public Hearing หลังจากนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนหลักๆ คือ
o เสนอร่างกฎหมายต่อ ส.ส. และ ส.ว. ทั้งสิ้น 3 วาระ
o ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างกฎหมาย
o ราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้กฎหมาย
o ขั้นตอนเฉพาะโครงการ เช่น การคัดเลือกผู้ประกอบการ
หากขั้นตอนต่างๆเดินหน้าต่อเนื่อง หรือ เรามองต่อ SET ที่เศรษฐกิจไทยจะมีภาพ New S Curve ใหม่ๆ ต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่ตลาดขาดความเชื่อมั่นต่อภาพดังกล่าวของประเทศ โดยหากอิงกรณีศึกษาประเทศมาเก๊า ที่เริ่มอนุญาตให้เอกชนลงทุน Entertainment Complex ช่วงปี 2000-2001 หลังทยอยสร้างแล้วเสร็จปี 2006-2011 พบว่านักท่องเที่ยวปี 2011 เพิ่มขึ้นจากปี 2005 ถึงราว 49.7% ทำให้เราเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับภาคบริการไทยขึ้นจากจุดสูงสุดในอดีตที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยสูงสุดในปี 2019 ที่ 39.4 ล้านคน
ส่วนกลุ่มหุ้นจึงให้น้ำหนักจิตวิทยาทางบวกต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้
1.หุ้นในกลุ่มที่มีฐานทุนสูงและมีกระแสข่าวเข้าร่วมโครงการ อาทิ AWC, กลุ่ม บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA+BTS+STEC), กลุ่ม CP และกลุ่มเดอะ มอลล์
2.หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STEC ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA
3.หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ อาทิ BBL, KBANK, KTB
4.หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS
ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวในเบื้องต้นจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร พร้อมกับมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มีต่อโครงการและส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยมากน้อยเพียงใด
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่ากระแสความเชื่อมั่นของตลาดต่อการเดินทางนโยบาย Entertainment Complex เพิ่มขึ้น หลังราชตฤณสมาคมประกาศลงทุนเม็ดเงิน 2 แสนล้านบาท หากอิงธุรกิจที่วางในโครงการดังกล่าว อาทิ กาสิโนถูกกฎหมาย สนามม้า โรงแรม 6 ดาว สนามกอล์ฟ ยอร์ชคลับ ภัตตาคารหรู โรงพยาบาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศูนย์การเรียนรู้ รวมถึงกิจกรรมกีฬาและบันเทิงอื่นๆ
ดังนั้น ประเมินโครงการขนาดย่อยที่มีจำนวนมากบวกกับภาพยอร์ชคลับ น่าจะจุดบ่งชี้สถานที่เป้าหมายได้ระดับหนึ่งว่าควรจะเป็นที่ดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำ โดยในส่วนกรุงเทพปัจจุบันที่ดินเข้าข่าย คือ ท่าเรือคลองเตย ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และรัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงอยู่แล้ว
ทั้งนี้ แม้กลไกก่อนที่โครงการจะเกิดขึ้นยังต้องใช้เวลา แม้อาจมีภาพการลงทุนโครงการ Mixed Use โดยยังไม่รวมโครงการกาสิโนที่รอข้อกฎหมายนำไปก่อน แต่หากมองอนุรักษ์นิยม การลงทุนก็น่าจะเกิดขึ้นหลังจากการผ่านร่าง พ.ร.บ.กฎหมายควบคุมธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในช่วง Public Hearing หลังจากนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนหลักๆ คือ
o เสนอร่างกฎหมายต่อ ส.ส. และ ส.ว. ทั้งสิ้น 3 วาระ
o ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างกฎหมาย
o ราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้กฎหมาย
o ขั้นตอนเฉพาะโครงการ เช่น การคัดเลือกผู้ประกอบการ
หากขั้นตอนต่างๆเดินหน้าต่อเนื่อง หรือ เรามองต่อ SET ที่เศรษฐกิจไทยจะมีภาพ New S Curve ใหม่ๆ ต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่ตลาดขาดความเชื่อมั่นต่อภาพดังกล่าวของประเทศ โดยหากอิงกรณีศึกษาประเทศมาเก๊า ที่เริ่มอนุญาตให้เอกชนลงทุน Entertainment Complex ช่วงปี 2000-2001 หลังทยอยสร้างแล้วเสร็จปี 2006-2011 พบว่านักท่องเที่ยวปี 2011 เพิ่มขึ้นจากปี 2005 ถึงราว 49.7% ทำให้เราเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับภาคบริการไทยขึ้นจากจุดสูงสุดในอดีตที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยสูงสุดในปี 2019 ที่ 39.4 ล้านคน
ส่วนกลุ่มหุ้นจึงให้น้ำหนักจิตวิทยาทางบวกต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้
1.หุ้นในกลุ่มที่มีฐานทุนสูงและมีกระแสข่าวเข้าร่วมโครงการ อาทิ AWC, กลุ่ม บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA+BTS+STEC), กลุ่ม CP และกลุ่มเดอะ มอลล์
2.หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STEC ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA
3.หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ อาทิ BBL, KBANK, KTB
4.หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS