ในตลาดหุ้นไทยมีบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นจะมีหุ้นไหนที่โดดเด่น และน่าลงทุนมากที่สุดของแต่ละอุตสาหกรรม ทีมข่าว Share2Trade หาคำตอบมาให้แล้ว
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมิน ทิศทางกำไรสุทธิไตรมาส 3-4/67 ของผู้ประกอบการใน SET ส่วนหนึ่งน่าจะยังถูกขับเคลื่อนจาก “ความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ” โดยเฉพาะโครงการ digital wallet ที่คาดเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณในเดือนก.ย.67 เป็นต้นไป ในการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค, ลดค่าครองชีพ
ทั้งนี้กลุ่มฯ ที่เกี่ยวข้องจะยังเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ก่อน ในขณะที่แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ยังทำต่อเนื่อง และความชัดเจนของการลงทุนใน entertainment complex น่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชนในอนาคต
ขณะเดียวกันต้นทุนพลังงาน, ต้นทุนค่าไฟฟ้า รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยที่เริ่มคงที่ น่าจะช่วยส่งผลต่อ อัตรากำไร ให้ทรงตัว และทยอยดีขึ้น ตามลำดับ โดยการลงทุนในไตรมาส 3-4/67 ยังให้น้ำหนัก กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลักภายใต้การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพิ่มเติม รวมทั้ง กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ และ กลุ่มที่มีปัจจัยบวกหรือ turnaround story เฉพาะตัว
ทั้งนี้เลือก กลุ่มพาณิชย์, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มเกษตรและอาหาร เป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน หุ้น TOP PICKS สำหรับการลงทุนในไตรมาส 3-4/67 คือ CPALL, KTB, MINT, TRUE และ CPF
สำหรับรายละเอียดการประเมินของแต่ละอุตสาหกรรม ของนักวิเคราะห์ค่ายดังกล่าว เริ่มกันที่ กลุ่มการแพทย์ คงน้ำหนักลงทุน Bullish เนื่องจาก 1.การขยายตัวของตลาดประกันสุขภาพ 2.การเพิ่มสิทธิประโยชน์รักษาและคัดกรองโรครุนแรงโครงการรัฐ (ประกันสังคม/สปสช.) และ 3. การเติบโตของ Medical Tourism และขยายฐานลูกค้าต่างชาติใหม่ๆ
โดยหุ้นเด่นเลือก BDMS และ CHG โดย BDMS แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 38 บาท สำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากมี Capacity พร้อมรับการเติบโตระยะยาว, ส่วนผสมลูกค้ากระจายตัวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่วนระยะสั้น CHG แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท น่าสนใจจากกำไรไตรมาส 3/67 เติบโตเด่นจากไตรมาสก่อน
ส่วนกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หุ้นเด่นเลือก CPF โดยให้น้ำหนักกลุ่มฯเป็น Neutral และภาพบวกเฉพาะบางกลุ่มได้แก่ หมู ไก่ และทูน่า เลือก Top pick เป็น CPF แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 31 บาท ปัจจัยบวกจากคาดราคาหมูไทย/เวียดนาม/จีนฟื้นเร็วและแรงกว่าที่คาด ราคาสูงกว่าต้นทุนการเลี้ยง แนวโน้มต้นทุนกากถั่วเหลืองลดลง
ด้านกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ เลือก BA (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 25.75 บาท) และ AOT (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 64.50 บาท) เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ โดย BA จากแนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการแข็งแกร่ง (อย่างน้อยถึงไตรมาส 1/68 ที่เป็นช่วง High season กลุ่มการบิน ชอบ BA มากกว่า AAV จากมีความเสี่ยงจากการแข่งขันต่ำกว่า และมีโอกาสจากการลงทุนใหม่ๆ เช่น โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และ Entertainment Complex เป็นต้น
และเลือก AOT จากความเสี่ยงในปี 2568 ที่ต่ำกว่ากลุ่มฯ และมี Upside risk จากโครงการใหม่ๆ เช่น การประมูลผู้ประกอบการรายที่ 3 (Ground, Cargo) และการเก็บ PSC (ค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร) Transit/Transfer เป็นต้น ที่จะชัดเจนปลายปีนี้
ขณะที่กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ คงเลือก MTC ( แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 58 บาท) เป็นหุ้นเด่น เพราะเป็นบริษัทเดียวที่เห็นการพัฒนาการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงบวกชัดเจนสุดตั้งแต่ไตรมาส 3/66 รวมทั้งกำไรสุทธิไตรมาส 3-4/67 คาดเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิปี 2567-68 คาดเติบโตจากปีก่อน เด่นสุดในกลุ่ม
ด้านกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ เลือก MINT เป็น Top pick แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 38 บาท เนื่องจากคาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 2567 และปี 2568 ที่คาดเติบโต 9% จากความต้องการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งในหลายภูมิภาค และมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ
ส่วนกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร คง Top Pick เป็น TRUE แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 12 บาท หลังจากผ่านช่วง Turnaround มาแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงกำไรที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง จากรายได้ที่เพิ่มจากการปรับราคาและต้นทุนที่ปรับตัวลดลงทั้งจากเรื่องการแข่งขันลดและ SYNERGY กับทาง DTAC ที่เข้ามาต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มธนาคารและการเงิน Top Pick เป็น KTB แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท) และ KBANK แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 155 บาท โดยภาพรวมการเติบโตปี 2567-68 คาด KTB และ KBANK มีกำไรโตเด่นสุด เติบโตเฉลี่ย (CAGR) ราว 12-13%
ด้านกลุ่มนิคมฯคงน้ำหนักลงทุน Neutral เลือก WHA แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 5.90 บาท และ AMATA แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 29 บาท เป็น Top Picks โดยคาดกำไรธุรกิจหลักของกลุ่มจะเติบโต 20% ในปีนี้เป็น 9.6 พันล้านบาท สนับสนุนจากการฟื้นตัวของทั้งธุรกิจนิคมฯ และโรงไฟฟ้า การปิดดีลขายที่ดินกับลูกค้ารายใหญ่ และ/หรือการฟื้นตัวของเวียดนามจะเป็นปัจจัยบวกกับราคาหุ้น
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ AP แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท และSIRI แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท เป็น top picks โดย AP จาก backlog กลุ่มกลาง-กลางบน รอโอนมาก และการโอนยังดี ทำให้แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 67 เด่นกว่าบริษัทอื่น รวมถึงยังสามารถเพิ่ม market share ได้ต่อเนื่อง
ขณะที่ SIRI เด่นในระยะกลาง-ยาว จากโครงการในทำเลบางนา และกรุงเทพกรีฑา ที่มูลค่าโครงการสูงและคาดขายดี จะเป็นกำลังสำคัญของการโอนในไตรมาส 4/67 เป็นต้นไป รวมถึงการขาย The Standard hotel ออกไป จะเพิ่ม upside ของกำไรสุทธิ 2568 ได้อีก
ส่วนกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค คง Top Pick เป็น CKP แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท จากการได้รับผลกระทบจำกัดจากค่า Ft และค่าก๊าซ โดย 80% ของรายได้มาจากพลังน้ำและคาดผลประกอบการเติบโตสูงที่สุดหนุนจาก La Nina
กลุ่มพาณิชย์เลือก CPALL แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 84 บาท, CPAXT แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 40 บาท และ BJC แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 32 บาท เป็นหุ้นเด่น ซึ่งเลือก CPALL และ CPAXT เพราะคุณภาพการเติบโตของกำไรปกติที่มาจากทั้ง SSSG ที่เป็นบวกสูงกว่ากลุ่มและ GDP กับการปรับปรุงมาร์จิ้นได้ดี
อีกทั้งได้ประโยชน์สูงจากกำลังซื้อกลุ่มรากหญ้าที่จะฟื้น และ ระยะยาวจะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้าง CPAXT เป้า 5 พันล้านบาทใน 3 ปี ส่วน BJC เพราะคาดกำไรครึ่งหลังปี 2567 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากครึ่งปีแรก และ valuation ถูก
ปิดท้ายที่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม หุ้นเด่น คือ SAPPE แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 100 บาท และ ICHI แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท จาก valuation ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร ซึ่งคาดกำไรของ SAPPE เติบโตที่ 13% ในปี 2567 และเติบโต 19.7% ในปี 2568 ส่วนกำไรของ ICHI คาดเติบโตที่ 19.2% ในปี 2567และ 12.2% ในปี 2568
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมิน ทิศทางกำไรสุทธิไตรมาส 3-4/67 ของผู้ประกอบการใน SET ส่วนหนึ่งน่าจะยังถูกขับเคลื่อนจาก “ความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ” โดยเฉพาะโครงการ digital wallet ที่คาดเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณในเดือนก.ย.67 เป็นต้นไป ในการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค, ลดค่าครองชีพ
ทั้งนี้กลุ่มฯ ที่เกี่ยวข้องจะยังเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ก่อน ในขณะที่แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ยังทำต่อเนื่อง และความชัดเจนของการลงทุนใน entertainment complex น่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชนในอนาคต
ขณะเดียวกันต้นทุนพลังงาน, ต้นทุนค่าไฟฟ้า รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยที่เริ่มคงที่ น่าจะช่วยส่งผลต่อ อัตรากำไร ให้ทรงตัว และทยอยดีขึ้น ตามลำดับ โดยการลงทุนในไตรมาส 3-4/67 ยังให้น้ำหนัก กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลักภายใต้การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพิ่มเติม รวมทั้ง กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ และ กลุ่มที่มีปัจจัยบวกหรือ turnaround story เฉพาะตัว
ทั้งนี้เลือก กลุ่มพาณิชย์, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มเกษตรและอาหาร เป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน หุ้น TOP PICKS สำหรับการลงทุนในไตรมาส 3-4/67 คือ CPALL, KTB, MINT, TRUE และ CPF
สำหรับรายละเอียดการประเมินของแต่ละอุตสาหกรรม ของนักวิเคราะห์ค่ายดังกล่าว เริ่มกันที่ กลุ่มการแพทย์ คงน้ำหนักลงทุน Bullish เนื่องจาก 1.การขยายตัวของตลาดประกันสุขภาพ 2.การเพิ่มสิทธิประโยชน์รักษาและคัดกรองโรครุนแรงโครงการรัฐ (ประกันสังคม/สปสช.) และ 3. การเติบโตของ Medical Tourism และขยายฐานลูกค้าต่างชาติใหม่ๆ
โดยหุ้นเด่นเลือก BDMS และ CHG โดย BDMS แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 38 บาท สำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากมี Capacity พร้อมรับการเติบโตระยะยาว, ส่วนผสมลูกค้ากระจายตัวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่วนระยะสั้น CHG แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท น่าสนใจจากกำไรไตรมาส 3/67 เติบโตเด่นจากไตรมาสก่อน
ส่วนกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หุ้นเด่นเลือก CPF โดยให้น้ำหนักกลุ่มฯเป็น Neutral และภาพบวกเฉพาะบางกลุ่มได้แก่ หมู ไก่ และทูน่า เลือก Top pick เป็น CPF แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 31 บาท ปัจจัยบวกจากคาดราคาหมูไทย/เวียดนาม/จีนฟื้นเร็วและแรงกว่าที่คาด ราคาสูงกว่าต้นทุนการเลี้ยง แนวโน้มต้นทุนกากถั่วเหลืองลดลง
ด้านกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ เลือก BA (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 25.75 บาท) และ AOT (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 64.50 บาท) เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ โดย BA จากแนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการแข็งแกร่ง (อย่างน้อยถึงไตรมาส 1/68 ที่เป็นช่วง High season กลุ่มการบิน ชอบ BA มากกว่า AAV จากมีความเสี่ยงจากการแข่งขันต่ำกว่า และมีโอกาสจากการลงทุนใหม่ๆ เช่น โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และ Entertainment Complex เป็นต้น
และเลือก AOT จากความเสี่ยงในปี 2568 ที่ต่ำกว่ากลุ่มฯ และมี Upside risk จากโครงการใหม่ๆ เช่น การประมูลผู้ประกอบการรายที่ 3 (Ground, Cargo) และการเก็บ PSC (ค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร) Transit/Transfer เป็นต้น ที่จะชัดเจนปลายปีนี้
ขณะที่กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ คงเลือก MTC ( แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 58 บาท) เป็นหุ้นเด่น เพราะเป็นบริษัทเดียวที่เห็นการพัฒนาการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงบวกชัดเจนสุดตั้งแต่ไตรมาส 3/66 รวมทั้งกำไรสุทธิไตรมาส 3-4/67 คาดเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิปี 2567-68 คาดเติบโตจากปีก่อน เด่นสุดในกลุ่ม
ด้านกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ เลือก MINT เป็น Top pick แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 38 บาท เนื่องจากคาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 2567 และปี 2568 ที่คาดเติบโต 9% จากความต้องการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งในหลายภูมิภาค และมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ
ส่วนกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร คง Top Pick เป็น TRUE แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 12 บาท หลังจากผ่านช่วง Turnaround มาแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงกำไรที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง จากรายได้ที่เพิ่มจากการปรับราคาและต้นทุนที่ปรับตัวลดลงทั้งจากเรื่องการแข่งขันลดและ SYNERGY กับทาง DTAC ที่เข้ามาต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มธนาคารและการเงิน Top Pick เป็น KTB แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท) และ KBANK แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 155 บาท โดยภาพรวมการเติบโตปี 2567-68 คาด KTB และ KBANK มีกำไรโตเด่นสุด เติบโตเฉลี่ย (CAGR) ราว 12-13%
ด้านกลุ่มนิคมฯคงน้ำหนักลงทุน Neutral เลือก WHA แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 5.90 บาท และ AMATA แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 29 บาท เป็น Top Picks โดยคาดกำไรธุรกิจหลักของกลุ่มจะเติบโต 20% ในปีนี้เป็น 9.6 พันล้านบาท สนับสนุนจากการฟื้นตัวของทั้งธุรกิจนิคมฯ และโรงไฟฟ้า การปิดดีลขายที่ดินกับลูกค้ารายใหญ่ และ/หรือการฟื้นตัวของเวียดนามจะเป็นปัจจัยบวกกับราคาหุ้น
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ AP แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท และSIRI แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท เป็น top picks โดย AP จาก backlog กลุ่มกลาง-กลางบน รอโอนมาก และการโอนยังดี ทำให้แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 67 เด่นกว่าบริษัทอื่น รวมถึงยังสามารถเพิ่ม market share ได้ต่อเนื่อง
ขณะที่ SIRI เด่นในระยะกลาง-ยาว จากโครงการในทำเลบางนา และกรุงเทพกรีฑา ที่มูลค่าโครงการสูงและคาดขายดี จะเป็นกำลังสำคัญของการโอนในไตรมาส 4/67 เป็นต้นไป รวมถึงการขาย The Standard hotel ออกไป จะเพิ่ม upside ของกำไรสุทธิ 2568 ได้อีก
ส่วนกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค คง Top Pick เป็น CKP แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท จากการได้รับผลกระทบจำกัดจากค่า Ft และค่าก๊าซ โดย 80% ของรายได้มาจากพลังน้ำและคาดผลประกอบการเติบโตสูงที่สุดหนุนจาก La Nina
กลุ่มพาณิชย์เลือก CPALL แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 84 บาท, CPAXT แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 40 บาท และ BJC แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 32 บาท เป็นหุ้นเด่น ซึ่งเลือก CPALL และ CPAXT เพราะคุณภาพการเติบโตของกำไรปกติที่มาจากทั้ง SSSG ที่เป็นบวกสูงกว่ากลุ่มและ GDP กับการปรับปรุงมาร์จิ้นได้ดี
อีกทั้งได้ประโยชน์สูงจากกำลังซื้อกลุ่มรากหญ้าที่จะฟื้น และ ระยะยาวจะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้าง CPAXT เป้า 5 พันล้านบาทใน 3 ปี ส่วน BJC เพราะคาดกำไรครึ่งหลังปี 2567 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากครึ่งปีแรก และ valuation ถูก
ปิดท้ายที่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม หุ้นเด่น คือ SAPPE แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 100 บาท และ ICHI แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท จาก valuation ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร ซึ่งคาดกำไรของ SAPPE เติบโตที่ 13% ในปี 2567 และเติบโต 19.7% ในปี 2568 ส่วนกำไรของ ICHI คาดเติบโตที่ 19.2% ในปี 2567และ 12.2% ในปี 2568