ครอบครัว "แอ๊ด คาราบาว" เฮ! หุ้น CBG แจกปันผลครึ่งปีแรก รับทรัพย์ 6 ก.ย.นี้ โกยเงินสดเข้ากระเป๋ากว่า 86.79 ล้านบาท
เข้าสู่เทศกาลการจ่ายปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งแรกปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ภายหลังจากรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส2/2567 และงวดครึ่งปีแรกไปเรียบร้อยแล้ว
จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CBG ได้ขึ้นเครื่องหมายXDไปแแล้ว โดยบริษัทฯประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท ซึ่งเป็นเงินปันผลรอบผลประกอบการวันที่ 1 ม.ค. 2567 - 30 มิ.ย. 2567 และเงินปันผลจากปันผลจากกำไรสุทธิและกำไรสะสม และได้มีกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 6 ก.ย. 2567
ทั้งนี้ ครอบครัว"แอ๊ด คาราบาว" หรือยืนยง โอภากุล เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่จะได้รับเงินปันผลรอบนี้รวมกว่า 86,797,020 บาท ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
นาย ยืนยง โอภากุลถือหุ้น จำนวน 70,480,000 หุ้น คิดเป็น 7.05% ได้รับเงินปันผลมูลค่า 42,288,000 บาท นาง ลินจง โอภากุล ภรรยา ถือหุ้น 26,166,900 หุ้นคิดเป็น 2.62% ได้รับเงินปันผลมูลค่า 15,700,140 บาท น.ส. ณิชา โอภากุล บุตร ถือหุ้น 17,794,600 หุ้น คิดเป็น 1.78% ได้รับเงินปันผลมูลค่า 10,676,760 บาท นาย วรมัน โอภากุล บุตร ถือหุ้น 15,220,200หุ้น คิดเป็น 1.52%ได้รับเงินปันผลมูลค่า 9,132,120 บาท และน.ส. นัชชา โอภากุล บุตร ถือหุ้น 15,000,000 หุ้นคิดเป็น 1.5%ได้รับเงินปันผลมูลค่า 9,000,000 บาท
บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CBG ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งมีการลงทุนหลักในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจ ผลิต ทำการตลาด จำหน่าย และบริหารจัดการการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่มอื่น ๆ อย่างครบวงจร
บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า แนะนำ “ซื้อ”หุ้นCBG โดยประเมินราคาเป้าหมาย 83 บาท เนื่องจากเป็นบริษัทฯเครื่องดื่มพลังงานในประเทศดีต่อเนื่อง, จัดตั้งบริษัทย่อยในกัมพูชารักษาตลาดสร้างความยั่งยืน
สรุปจากการประชุมนักวิเคราะห์ (14/8/24) ผู้บริหารมั่นใจส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มพลังงานคาราบาวเพิ่มขึ้น และแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก จากเครื่องดื่มพลังงานในประเทศของ CBG คาดยังเติบโตต่อเนื่องใน 3Q24 และไปต่อใน 4Q24 โดยยอดขายเดือน ก.ค.24 ทำสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 5 ปี ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นบริษัทคาดว่าจะแตะ 26% ได้ภายในสิ้นปีนี้ การเติบโตมาจากการปรับกลยุทธ์การขายสินค้ากับตัวแทนจำหน่ายลดการสต๊อกสินค้าลงเหลือ 14 วัน ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับคู่ค้า และการทำการตลาดร่วมกับไทยรัฐฯทีวีที่ยังมีต่อเนื่อง และการคงราคาขายปลีก 10 บาท
การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มตะวันออกกลาง และเวียดนาม ยอดขายดีขึ้นเป็นหลัก และกัมพูชาคาดทรงตัว สำหรับประเทศพม่าในส่วนโรงงานมีการเลื่อนออกไปจากสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมาที่ยังไม่สงบ
ธุรกิจรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้า/เบียร์ เดือน ก.ค.24 เหล้าข้าวหอมมียอดขายสูงสุด สำหรับธุรกิจเบียร์มีการใช้กลยุทธ์การตลาดใน 3Q24 เน้นกรุงเทพฯและกระจายตามหัวเมือง ด้วยการใช้กลยุทธ์ cash van 75 คัน เข้าถึงผู้บริโภค ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง ทำ off-trade และ on-trade และมีแผนเข้า modern trade,7-11 ในช่วงปลาย 4Q24 เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่จะส่งผลต่อการเติบโต traditional trade ในอนาคต และมีรายได้ส่วน packaging เพิ่มขึ้น
จัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศกัมพูชารักษาตลาดสร้างความยั่งยืนและเพิ่มอัตราทำกำไร
CBG ประกาศร่วมทุนในประเทศกัมพูชาจัดตั้งบริษัท คาราบาว (กัมพูชา) จำกัด ทุนจดทะเบียน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,450 ล้านบาท) ถือหุ้น 60% ภายใต้บริษัท เอเชียคาราบาวเวนเจอร์ (“ACV”) โดยอีก 40% เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นสัญชาติกัมพูชาซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับบริษัทมานานกว่า 10 ปี ประกอบด้วย MR. HIM TRY ถือหุ้น 20% และ MR. CHEA SENG ถือหุ้น 20% โดยประเทศกัมพูชาเป็นประเทศอันดับหนึ่งในการส่งออกคาราบาวในรูปแบบกระป๋อง บริษัทจะเข้าไปลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตเครื่องดื่มคาราบาว 2 สายผลิต มีกำลังการผลิตประมาณ 600 ล้านกระป๋อง/ปี คาดว่าจะผลิตสินค้าได้ 3Q26
โดยประโยชน์ที่จะได้คือความยั่งยืนในตลาดกัมพูชา, อัตราทำกำไรของกลุ่มเครื่องดื่มบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2% จากปัจจุบันอยู่ที่ 39%, ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในกัมพูชา, เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และบริษัทยังได้รายได้จากการขายหัวเชื้อเครื่องดื่มพลังงาน และรับรู้กำไรจากการร่วมทุนครั้งนี้
ยังคงประมาณการเดิม คาดผลประกอบการปีนี้เติบโต 43%
ผลประกอบการกำไรสุทธิ 6M24 คิดเป็น 48% ของคาดกำไรทั้งปี โดยปกติกลุ่มเครื่องดื่มจะอ่อนตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากช่วง low season แต่เราคาด CBG จะมีผลประกอบการใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก จากช่วง low season แต่ชดเชยกับการปรับกลยุทธ์การตลาดกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานที่เริ่มเห็นผลใน 2Q24 เป็นต้นไป เราคาดกำไรสุทธิปี 2024-25F ยังเติบโตได้ 43% และ 12% ตามลำดับ คาดอัตรามาร์จิ้นเพิ่มขึ้นจากการปรับกลยุทธ์ลดการสต๊อกสินค้าของคู่ค้า และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลงจากการแบ่งค่าใช้จ่าย sponsorship ให้กับบ.ตะวันแดง
ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 83 บาท อ้างอิง PER-0.5SD เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของ CBG ที่ 30X เทียบเท่า PEG ปี 2024F ที่ค่อนข้างต่ำ 0.6X จากการเติบโตของกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานในประเทศและการส่งออกกลับมาฟื้นตัวจากการทำการตลาดของตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ PER24F ที่ 22.7X, Dividend Yield 24F ที่ 2.1%