Talk of The Town
OSP งบไตรมาส 3/67 อาจบันทึกขาดทุน จากหนี้สินค้ำประกันกว่า 500-600 ลบ. ฟากโบรกฯแนะนำ “ชะลอการลงทุน”
02 กันยายน 2567
จากประเด็นการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น อีเกิ้ล จำกัด (“MGE”) และบริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น กลาส จำกัด (“MGG”) ของ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP
โดยบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทร่วมค้าที่ OSP มีสัดส่วนความเป็นเจ้าของ ร้อยละ 35.00% และ 51.84% ตามลำดับ ดำเนินธุรกิจให้บริการผลิตและจัดจำหน่ายขวดแก้ว (OEM) มูลค่ารายการราว 5.0 หมื่นล้านเมียนมาจัต (ราว 800 ล้านบาท) นอกจากนี้ปัจจุบันเงินลงทุนคงเหลือใน 2 บริษัทดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 136 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัท หลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า บริษัทย่อยของ OSP มีภาระค้ำประกันเงินกู้ให้ทั้ง 2 บริษัทเป็นจำนวนเงินประมาณ 35.8 ล้าน USD และ 15,558 ล้านเมียนมาจัต (รวมราว 1,470 ล้านบาท)
ดังนั้นประเมินเบื้องต้นว่าการจำหน่านเงินลงทุนดังกล่าว จะทำให้ OSP จะมีการรับรู้ผล ขาดทุนจากหนี้สินค้ำประกันราว 500-600 ล้านบาท ในกรณีเลวร้ายสุด ในไตรมาส 3/67
การจำหน่ายเงินลงทุนดังกล่าวเป็นไปตามแผนการยกเลิก (Divest) ธุรกิจที่มีผลประกอบการอ่อนแอ หรือไม่เป็นไปตามแผนของ บริษัท เพื่อรองรับการทำ M&A ตามที่เคยให้ข้อมูลในประชุมนักวิเคราะห์ไม่ใช่ประเด็นใหม่ และคาดจะสิ้นสุดแผนดังกล่าวในปี 2567 ทำให้จะไม่มีการรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษอีกในปี 2568 เป็นต้นไป
ประเมินว่าราคาหุ้นมีโอกาสตอบรับเชิงลบต่อประเด็นดังกล่าว เชิงกลยุทธ์ แนะนำชะลอการลงทุน และรอหาจังหวะเข้าลงทุน อีกครั้งหลังงบไตรมาส 3/67 ออก
โดยบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทร่วมค้าที่ OSP มีสัดส่วนความเป็นเจ้าของ ร้อยละ 35.00% และ 51.84% ตามลำดับ ดำเนินธุรกิจให้บริการผลิตและจัดจำหน่ายขวดแก้ว (OEM) มูลค่ารายการราว 5.0 หมื่นล้านเมียนมาจัต (ราว 800 ล้านบาท) นอกจากนี้ปัจจุบันเงินลงทุนคงเหลือใน 2 บริษัทดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 136 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัท หลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า บริษัทย่อยของ OSP มีภาระค้ำประกันเงินกู้ให้ทั้ง 2 บริษัทเป็นจำนวนเงินประมาณ 35.8 ล้าน USD และ 15,558 ล้านเมียนมาจัต (รวมราว 1,470 ล้านบาท)
ดังนั้นประเมินเบื้องต้นว่าการจำหน่านเงินลงทุนดังกล่าว จะทำให้ OSP จะมีการรับรู้ผล ขาดทุนจากหนี้สินค้ำประกันราว 500-600 ล้านบาท ในกรณีเลวร้ายสุด ในไตรมาส 3/67
การจำหน่ายเงินลงทุนดังกล่าวเป็นไปตามแผนการยกเลิก (Divest) ธุรกิจที่มีผลประกอบการอ่อนแอ หรือไม่เป็นไปตามแผนของ บริษัท เพื่อรองรับการทำ M&A ตามที่เคยให้ข้อมูลในประชุมนักวิเคราะห์ไม่ใช่ประเด็นใหม่ และคาดจะสิ้นสุดแผนดังกล่าวในปี 2567 ทำให้จะไม่มีการรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษอีกในปี 2568 เป็นต้นไป
ประเมินว่าราคาหุ้นมีโอกาสตอบรับเชิงลบต่อประเด็นดังกล่าว เชิงกลยุทธ์ แนะนำชะลอการลงทุน และรอหาจังหวะเข้าลงทุน อีกครั้งหลังงบไตรมาส 3/67 ออก