Smart Investment
เลือกลงทุน 10 ปีกับกองทุนวายุภักษ์ หรือ 5 ปี กับกองทุน TESG วันนี้มีคำตอบ!
08 กันยายน 2567
Mr.Data
ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูก “จุดพลุ” ลากกลับมายืนเหนือ 1,400 จุด จากความคาดหวังเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หนุนตลาดหุ้นไทยทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 5 เดือน
จากความชัดเจนของการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์1 ของกระทรวงการคลัง ตามไทม์ไลน์ เตรียมขายหน่วยลงทุนในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ และเตรียมเข้าเทรดในช่วงเดือนตุลาคม 2567โดยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 1-1.5 แสนล้านบาท
ขณะที่สถานการณ์การเมืองในประเทศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้การเดินหน้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีความชัดเจนขึ้น รวมถึงความคาดหวังเงินจากกองทุน TESG เป็นอีกแรงหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ ธีมการลงทุนของตลาดเริ่มเปลี่ยนจากกลุ่ม Growth Stock มาเป็น Value Stock ที่สำคัญ Valuation ตลาดหุ้นไทยต่ำ เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ กลับเข้ามาลงทุน
…แล้วกองทุนวายุภักษ์ จะเริ่มเปิดขายเมื่อไหม่ เหมาะสมกับใคร
สัปดาห์นี้ Mr.Data มีคำตอบ
กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. วงเงิน 1-1.5 แสนล้านบาท จะเปิดให้นักลงทุนที่เป็นประชาชนรายย่อยจองซื้อในช่วงวันที่ 16-20 ก.ย.นี้
ส่วนนักลงทุนสถาบันจะเปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 18-20 ก.ย. และจะซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ไม่เกินวันที่ 10 ต.ค. 2567 นักลงทุนที่จองซื้อหน่วยลงทุนจะทราบผลการจัดสรรหน่วยลงทุนในวันที่ 23 กันยายน
….“กองทุนวายุภักษ์” เป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นโดยกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุนของประชาชน รวมถึงการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศ
เตรียมจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่นักลงทุนทั่วไป (นักลงทุนรายย่อย, นักลงทุนสถาบัน) มูลค่ารวมไม่เกิน 1-1.5 แสนล้านบาท ระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี
อัตราผลตอบแทนการลงทุนจะได้รับเงินปันผลในแต่ละปีตามอัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของกองทุน แต่ไม่น้อยกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินผลตอบแทนขั้นสูง ซึ่งจะมีรายละเอียดในหนังสือชี้ชวน
นอกจากนี้ กองทุนจะมีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยจะมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินลงทุนตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนที่มีลักษณะเป็น water fall และมีการกำหนดสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนฯ ต่อเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. และมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หากสัดส่วนดังกล่าวลดลง
โดยหน่วยลงทุนประเภทก. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีบลจ.กรุงไทย และบลจ.เอ็มเอฟซี เป็นผู้จัดการกองทุน
…ส่วนกองทุน TESG (Thailand ESG Fund) เป็นกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) โดยมีเงื่อนไขหลักดังนี้
การลดหย่อนภาษี สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 300,000 บาท
ระยะเวลาการลงทุน ต้องถือครองหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ
นโยบายการลงทุน ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ที่มีการดำเนินงานตามหลัก ESG เช่น หุ้นในดัชนี SET ESG Ratings หรือ ESG Bond
การลงทุนขั้นต่ำ ไม่มีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ
กองทุน TESG เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและสนใจการลงทุนที่เน้นความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
สรุปแล้ว!!!!
กองทุนวายุภักษ์เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ มีการการันตีผลตอบแทนจากเงินปันผล ซึ่งจะมีการกำหนดขั้นต่ำ และผลตอบแทนสูงสุด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการถือหน่วยลงทุนยาว 10 ปี
แต่สำหรับกองทุน TESG ถูกออกแบบมาเพื่อระดมทุนเงินออมระยะยาว จับกลุ่ม “มนุษย์เงินเดือน” โดยมีแต้มต่อของการนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษี ส่วนเรื่องของผลตอบแทนการลงทุน ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้จัดการกองทุน ที่อาจจะมีกองทุนที่ลงทุนในรูปแบบเชิงรุก หรือเชิงรับ ซึ่งผู้ลงทุนต้องเข้าไปศึกษารายละเอียดของแต่ละกองทุนว่าแต่ละบลจ. กำหนดกรอบการลงทุนอย่างไร
ทั้ง 2 กองทุนถือเป็นความหวังของหมู่บ้าน ที่จะช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยให้กับเข้าสู่ความคึกคักอีกครั้ง หลังจากในช่วงที่ผ่านมาต่างชาติถล่มขายหุ้นไทยมาโดยตลอด
โดยคาดหวังว่าเม็ดเงินใหม่ที่ไหลเข้าตลาดหุ้น จะทำให้ดัชนีกลับเข้าสู่ช่วง “ขาขึ้น” อีกครั้ง
มุมมองของบล.ทิสโก้ ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยจะได้รับประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์1 เนื่องจากมองว่าจะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนตราสารหนี้ เนื่องจากมีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ
“เงินใหม่นี้จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นโดยรวมในตลาด ผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20 จุด สำหรับทุกๆ การซื้อสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท ตามประมาณการของฝ่ายวิจัยทิสโก้”
ในขณะที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะระดมทุนได้ 1-1.5 แสนล้านบาท ฝ่ายวิจัยทิสโก้เชื่อว่าตัวเลขสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ จากความเห็นเบื้องต้น ผู้ซื้อหน่วยลงทุนจะได้รับเงินปันผลประจำปีตามผลการดำเนินงานของกองทุน
โดยมีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำและมีเพดานสูงสุดในระยะเวลา 10 ปี ดังนั้น อัตราผลตอบแทนของการรับประกันขั้นต่ำ ซึ่งยังไม่ทราบในขณะนี้ จะเป็นตัวกำหนดว่าจะสร้างความสนใจจากนักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด หากผลตอบแทนสูงเกินไปอาจเพิ่มภาระทางการคลังในอนาคต (หรือหาก SET มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่คาดการณ์) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีอยู่ที่ 2.8% ในปัจจุบัน โดยมีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้น เนื่องจากความท้าทายทางการคลังที่ดำเนินอยู่
ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูก “จุดพลุ” ลากกลับมายืนเหนือ 1,400 จุด จากความคาดหวังเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หนุนตลาดหุ้นไทยทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 5 เดือน
จากความชัดเจนของการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์1 ของกระทรวงการคลัง ตามไทม์ไลน์ เตรียมขายหน่วยลงทุนในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ และเตรียมเข้าเทรดในช่วงเดือนตุลาคม 2567โดยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 1-1.5 แสนล้านบาท
ขณะที่สถานการณ์การเมืองในประเทศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้การเดินหน้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีความชัดเจนขึ้น รวมถึงความคาดหวังเงินจากกองทุน TESG เป็นอีกแรงหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ ธีมการลงทุนของตลาดเริ่มเปลี่ยนจากกลุ่ม Growth Stock มาเป็น Value Stock ที่สำคัญ Valuation ตลาดหุ้นไทยต่ำ เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ กลับเข้ามาลงทุน
…แล้วกองทุนวายุภักษ์ จะเริ่มเปิดขายเมื่อไหม่ เหมาะสมกับใคร
สัปดาห์นี้ Mr.Data มีคำตอบ
กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. วงเงิน 1-1.5 แสนล้านบาท จะเปิดให้นักลงทุนที่เป็นประชาชนรายย่อยจองซื้อในช่วงวันที่ 16-20 ก.ย.นี้
ส่วนนักลงทุนสถาบันจะเปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 18-20 ก.ย. และจะซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ไม่เกินวันที่ 10 ต.ค. 2567 นักลงทุนที่จองซื้อหน่วยลงทุนจะทราบผลการจัดสรรหน่วยลงทุนในวันที่ 23 กันยายน
….“กองทุนวายุภักษ์” เป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นโดยกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุนของประชาชน รวมถึงการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศ
เตรียมจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่นักลงทุนทั่วไป (นักลงทุนรายย่อย, นักลงทุนสถาบัน) มูลค่ารวมไม่เกิน 1-1.5 แสนล้านบาท ระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี
อัตราผลตอบแทนการลงทุนจะได้รับเงินปันผลในแต่ละปีตามอัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของกองทุน แต่ไม่น้อยกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินผลตอบแทนขั้นสูง ซึ่งจะมีรายละเอียดในหนังสือชี้ชวน
นอกจากนี้ กองทุนจะมีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยจะมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินลงทุนตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนที่มีลักษณะเป็น water fall และมีการกำหนดสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนฯ ต่อเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. และมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หากสัดส่วนดังกล่าวลดลง
โดยหน่วยลงทุนประเภทก. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีบลจ.กรุงไทย และบลจ.เอ็มเอฟซี เป็นผู้จัดการกองทุน
…ส่วนกองทุน TESG (Thailand ESG Fund) เป็นกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) โดยมีเงื่อนไขหลักดังนี้
การลดหย่อนภาษี สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 300,000 บาท
ระยะเวลาการลงทุน ต้องถือครองหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ
นโยบายการลงทุน ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ที่มีการดำเนินงานตามหลัก ESG เช่น หุ้นในดัชนี SET ESG Ratings หรือ ESG Bond
การลงทุนขั้นต่ำ ไม่มีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ
กองทุน TESG เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและสนใจการลงทุนที่เน้นความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
สรุปแล้ว!!!!
กองทุนวายุภักษ์เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ มีการการันตีผลตอบแทนจากเงินปันผล ซึ่งจะมีการกำหนดขั้นต่ำ และผลตอบแทนสูงสุด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการถือหน่วยลงทุนยาว 10 ปี
แต่สำหรับกองทุน TESG ถูกออกแบบมาเพื่อระดมทุนเงินออมระยะยาว จับกลุ่ม “มนุษย์เงินเดือน” โดยมีแต้มต่อของการนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษี ส่วนเรื่องของผลตอบแทนการลงทุน ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้จัดการกองทุน ที่อาจจะมีกองทุนที่ลงทุนในรูปแบบเชิงรุก หรือเชิงรับ ซึ่งผู้ลงทุนต้องเข้าไปศึกษารายละเอียดของแต่ละกองทุนว่าแต่ละบลจ. กำหนดกรอบการลงทุนอย่างไร
ทั้ง 2 กองทุนถือเป็นความหวังของหมู่บ้าน ที่จะช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยให้กับเข้าสู่ความคึกคักอีกครั้ง หลังจากในช่วงที่ผ่านมาต่างชาติถล่มขายหุ้นไทยมาโดยตลอด
โดยคาดหวังว่าเม็ดเงินใหม่ที่ไหลเข้าตลาดหุ้น จะทำให้ดัชนีกลับเข้าสู่ช่วง “ขาขึ้น” อีกครั้ง
มุมมองของบล.ทิสโก้ ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยจะได้รับประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์1 เนื่องจากมองว่าจะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนตราสารหนี้ เนื่องจากมีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ
“เงินใหม่นี้จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นโดยรวมในตลาด ผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20 จุด สำหรับทุกๆ การซื้อสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท ตามประมาณการของฝ่ายวิจัยทิสโก้”
ในขณะที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะระดมทุนได้ 1-1.5 แสนล้านบาท ฝ่ายวิจัยทิสโก้เชื่อว่าตัวเลขสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ จากความเห็นเบื้องต้น ผู้ซื้อหน่วยลงทุนจะได้รับเงินปันผลประจำปีตามผลการดำเนินงานของกองทุน
โดยมีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำและมีเพดานสูงสุดในระยะเวลา 10 ปี ดังนั้น อัตราผลตอบแทนของการรับประกันขั้นต่ำ ซึ่งยังไม่ทราบในขณะนี้ จะเป็นตัวกำหนดว่าจะสร้างความสนใจจากนักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด หากผลตอบแทนสูงเกินไปอาจเพิ่มภาระทางการคลังในอนาคต (หรือหาก SET มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่คาดการณ์) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีอยู่ที่ 2.8% ในปัจจุบัน โดยมีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้น เนื่องจากความท้าทายทางการคลังที่ดำเนินอยู่