Talk of The Town
โบรกฯไทย-ต่างชาติแห่อัพเป้า SET คาดสิ้นปีนี้ทะยาน 1,540-1,550 จุด รับกระแสเม็ดเงินกองวายุภักษ์หนุน
09 กันยายน 2567
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินภาพการลงทุนภายในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่คล้ายกับในอดีต ผสานการเมืองภายในเดินหน้า ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี 2567 ในทางบวก
โดยประเมินว่าเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหลักๆ 2 ส่วน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/67 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1-1.5 แสนล้านบาท ผสานเม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 2568 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท จะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2567 ประเมินที่ 1,540 จุด (PER2024 17.3X)
กลยุทธ์แนะนาลงทุนในหุ้น 3 กลุ่ม 1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2567-68 ได้แก่ AOT, PTT, KTB
2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
ขณะเดียวกันรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นระบุว่า โกลด์แมน แซดส์ เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิกที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปรับลดลง 2%
โดยตลาดหุ้นเกาหลีปรับลดลง 6% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน และจีนปรับตัวลดลง 3% ในขณะที่ SET Index ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% และอุปกรณ์เทคโนโลยี ปรับเพิ่มเป้าหมาย SET Index ใน 12 เดือนข้างหน้าจาก 1,450 จุด เป็น 1,550 จุด
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิกถูกกดดันโดยตัวเลขภาคการบริการของจีนที่ลดลงในเดือนส.ค. ส่วนภาคการผลิตนั้นอยู่สูงกว่าระดับ 50 เป็นเหตุให้เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศ
ทั้งนี้ทางโกลด์แมน แซคส์ ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย โดยกองทุนวายุภักษ์นั้นจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก.แก่ประชาชนทั่วไปในวันที่ 16-20 ก.ย. นี้ และจะเริ่มเข้าซื้อหุ้นในเดือนต.ค. โดยจะมีเม็ดเงินลงทุนสูงสุดถึง 1.50 แสนล้านบาท คิดเป็นฟรีโฟรทราวๆ 2% ของ SET Index และราว 1% ของ Market Cap ของ SET Index
โดยตลาดหุ้นไทยรีบาวน์กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งถึง 12% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาหลังจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลดดลงไปถึง 25% และมีผลงานที่แย่กว่าดันี MSCI เอเชียแปซีฟิกที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี 66 โดยเม็ดเงินลงทุนต่างชาตินั้นไหลออกจากประเทศไทยมากถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์มองว่าหน่วยลงทนใหม่กองวายุภักษ์จะเป็นปัจจัยบวกทั้งทางด้าน sentiment และสภาพคล่องให้กับตลาด รวมถึงจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศกลับเข้ามาในไทย
โดยประเมินว่าเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหลักๆ 2 ส่วน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/67 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1-1.5 แสนล้านบาท ผสานเม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 2568 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท จะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2567 ประเมินที่ 1,540 จุด (PER2024 17.3X)
กลยุทธ์แนะนาลงทุนในหุ้น 3 กลุ่ม 1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2567-68 ได้แก่ AOT, PTT, KTB
2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
ขณะเดียวกันรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นระบุว่า โกลด์แมน แซดส์ เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิกที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปรับลดลง 2%
โดยตลาดหุ้นเกาหลีปรับลดลง 6% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน และจีนปรับตัวลดลง 3% ในขณะที่ SET Index ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% และอุปกรณ์เทคโนโลยี ปรับเพิ่มเป้าหมาย SET Index ใน 12 เดือนข้างหน้าจาก 1,450 จุด เป็น 1,550 จุด
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิกถูกกดดันโดยตัวเลขภาคการบริการของจีนที่ลดลงในเดือนส.ค. ส่วนภาคการผลิตนั้นอยู่สูงกว่าระดับ 50 เป็นเหตุให้เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศ
ทั้งนี้ทางโกลด์แมน แซคส์ ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย โดยกองทุนวายุภักษ์นั้นจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก.แก่ประชาชนทั่วไปในวันที่ 16-20 ก.ย. นี้ และจะเริ่มเข้าซื้อหุ้นในเดือนต.ค. โดยจะมีเม็ดเงินลงทุนสูงสุดถึง 1.50 แสนล้านบาท คิดเป็นฟรีโฟรทราวๆ 2% ของ SET Index และราว 1% ของ Market Cap ของ SET Index
โดยตลาดหุ้นไทยรีบาวน์กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งถึง 12% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาหลังจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลดดลงไปถึง 25% และมีผลงานที่แย่กว่าดันี MSCI เอเชียแปซีฟิกที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี 66 โดยเม็ดเงินลงทุนต่างชาตินั้นไหลออกจากประเทศไทยมากถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์มองว่าหน่วยลงทนใหม่กองวายุภักษ์จะเป็นปัจจัยบวกทั้งทางด้าน sentiment และสภาพคล่องให้กับตลาด รวมถึงจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศกลับเข้ามาในไทย