หุ้นไทยตอนนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จนกลายเป็นตลาดหุ้นที่ร้อนแรงที่สุดในโลกไปแล้ว และหากนับตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.67 ที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” พบว่าตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้วมากกว่า 100 จุด
แต่ท่ามกลางที่หุ้นไทยพุ่งแรงแบบนี้ ทีมงานจึงได้รวบรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นแถวสองที่ยังขึ้นน้อย มาฝากนักลงทุน ผ่านการประเมินของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
โดยหากอ้างอิงการประเมินนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองจากนี้ หลัง SET ทะลุ 1,400 จุด คาดว่า SET น่าจะไปพักฐานที่ 1,444 จุด คิดเป็น EYG ที่ -0.25SD ตรงแถวๆ 4.2%
โดยหุ้นแถว 2 ที่คิดว่ายังขึ้นน้อยในช่วง Rally ที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มโรงกลั่นและ F&B ได้แก่ BCP, TOP, OSP, SNNP, TKN
สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นแถวสองดังกล่าว เริ่มจาก BCP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 47 บาท และมองเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มพลังงานต่อเนื่อง จากภาพการเติบโตมีความชัดเจนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 3/67 จะกลับมาเพิ่มขึ้นจากการไม่มีหยุดซ่อมบำรุงและค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นและกำไรระยะยาวจะถูกหนุนด้วยธุรกิจ E&P แต่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนภาพเติบโตดังกล่าวด้วย P/B ต่ำกว่า BV มาก เพียง 0.7 เท่า เทียบกับ ROE ที่สูงถึง 13-14%
ส่วน TOP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 61 บาทจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นและกำลังผลิตใหม่จาก CFP จะช่วยหนุนปริมาณขายในปีหน้า ขณะที่ Valuation น่าสนใจด้วย P/B 0.7 เท่า และอัตราเงินปันผล 6.4%
ทั้งนี้ค่าการกลั่นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ด้วยแรงหนุนจากความต้องการน้ามันเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และการปรับสมดุลของตลาดผ่านการลดอัตราการกลั่นลง ส่วนตลาดอะโรเมติกส์มีแนวโน้มที่ดีกว่าตลาดโอเลฟินส์ จากความต้องการใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังผลิตใหม่ทำให้สเปรดเพิ่มขึ้น
คาดกำไรปกติไตรมาส 3/67 กลับมาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน (แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะฐานสูง) ตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิอาจลดลงตามรายการพิเศษหายไป
ด้าน OSP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 28.00 บาท โดย outlook ยังเป็นไปตามคาด คงประมาณการกำไรปกติที่ 3,204 ล้านบาท เติบโต 47% เบื้องต้นคาดกำไรปกติไตรมาส 3/67 จะขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัว และ GPM ขยายตัว แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล, GPM ปรับตัวลดลง และ tax rate เพิ่มขึ้น เนื่องจากสัดส่วนรายได้ต่างประเทศลดลง
ขณะที่ SNNP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท มองว่าราคาน่าสนใจ ปัจจุบัน SNNP เทรดอยู่ที่ PER 17.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดฯ โดยยังชอบ SNNP จาก 1.มี snack & beverage ที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย
2.มี production facilities ทั้ง ในและต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง, 3. valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับ peer กลุ่ม Food & Beverage และยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเนื่องจาก penetration rate ในตลาดต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ
และ TKN นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า TKN วางแผนที่จะขยายธุรกิจในสหรัฐอเมริกามากขึ้น (ประมาณ 10% ของยอดขาย) ผ่านการเข้าสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น Walmart และ Kroger ในไตรมาส 4/67 นอกเหนือจากการขายใน Costco ในปัจจุบัน
โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเพิ่มการเติบโตของยอดขายในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ไตรมาส 4/67 เป็นต้นไป แต่ไม่มีคำแนะนำการเติบโตของรายได้ในการประชุมนักวิเคราะห์
นอกจากนี้ TKN กำลังวางแผนที่จะทำงานร่วมกับผู้จัดจำหน่ายในยุโรปมากขึ้น แม้ว่าแผนการยังไม่เป็นรูปธรรมก็ตาม ส่วนในประเทศจีน ยอดขายอาจลดลง 2% ในปี 67 TKN วางแผนที่จะเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มเติม (เช่น Temu) เพื่อให้ทันกับแนวโน้มการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในจีน
แต่ข่าวดีนี้ถูกชดเชยด้วยแรงกดดันด้านต้นทุนที่ยังคงสูงอยู่จากราคาสาหร่ายที่สูงขึ้น (33% ของ COGS ) ซึ่งเพิ่มขึ้น 50% YTD คงประมาณการ คำแนะนำ “ถือ” และเป้าหมายที่ 10.30 บาท
แต่ท่ามกลางที่หุ้นไทยพุ่งแรงแบบนี้ ทีมงานจึงได้รวบรวมปัจจัยพื้นฐานหุ้นแถวสองที่ยังขึ้นน้อย มาฝากนักลงทุน ผ่านการประเมินของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
โดยหากอ้างอิงการประเมินนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองจากนี้ หลัง SET ทะลุ 1,400 จุด คาดว่า SET น่าจะไปพักฐานที่ 1,444 จุด คิดเป็น EYG ที่ -0.25SD ตรงแถวๆ 4.2%
โดยหุ้นแถว 2 ที่คิดว่ายังขึ้นน้อยในช่วง Rally ที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มโรงกลั่นและ F&B ได้แก่ BCP, TOP, OSP, SNNP, TKN
สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นแถวสองดังกล่าว เริ่มจาก BCP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 47 บาท และมองเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มพลังงานต่อเนื่อง จากภาพการเติบโตมีความชัดเจนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 3/67 จะกลับมาเพิ่มขึ้นจากการไม่มีหยุดซ่อมบำรุงและค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นและกำไรระยะยาวจะถูกหนุนด้วยธุรกิจ E&P แต่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนภาพเติบโตดังกล่าวด้วย P/B ต่ำกว่า BV มาก เพียง 0.7 เท่า เทียบกับ ROE ที่สูงถึง 13-14%
ส่วน TOP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 61 บาทจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นและกำลังผลิตใหม่จาก CFP จะช่วยหนุนปริมาณขายในปีหน้า ขณะที่ Valuation น่าสนใจด้วย P/B 0.7 เท่า และอัตราเงินปันผล 6.4%
ทั้งนี้ค่าการกลั่นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ด้วยแรงหนุนจากความต้องการน้ามันเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และการปรับสมดุลของตลาดผ่านการลดอัตราการกลั่นลง ส่วนตลาดอะโรเมติกส์มีแนวโน้มที่ดีกว่าตลาดโอเลฟินส์ จากความต้องการใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังผลิตใหม่ทำให้สเปรดเพิ่มขึ้น
คาดกำไรปกติไตรมาส 3/67 กลับมาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน (แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะฐานสูง) ตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิอาจลดลงตามรายการพิเศษหายไป
ด้าน OSP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 28.00 บาท โดย outlook ยังเป็นไปตามคาด คงประมาณการกำไรปกติที่ 3,204 ล้านบาท เติบโต 47% เบื้องต้นคาดกำไรปกติไตรมาส 3/67 จะขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัว และ GPM ขยายตัว แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล, GPM ปรับตัวลดลง และ tax rate เพิ่มขึ้น เนื่องจากสัดส่วนรายได้ต่างประเทศลดลง
ขณะที่ SNNP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท มองว่าราคาน่าสนใจ ปัจจุบัน SNNP เทรดอยู่ที่ PER 17.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดฯ โดยยังชอบ SNNP จาก 1.มี snack & beverage ที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย
2.มี production facilities ทั้ง ในและต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง, 3. valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับ peer กลุ่ม Food & Beverage และยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเนื่องจาก penetration rate ในตลาดต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ
และ TKN นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า TKN วางแผนที่จะขยายธุรกิจในสหรัฐอเมริกามากขึ้น (ประมาณ 10% ของยอดขาย) ผ่านการเข้าสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น Walmart และ Kroger ในไตรมาส 4/67 นอกเหนือจากการขายใน Costco ในปัจจุบัน
โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเพิ่มการเติบโตของยอดขายในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ไตรมาส 4/67 เป็นต้นไป แต่ไม่มีคำแนะนำการเติบโตของรายได้ในการประชุมนักวิเคราะห์
นอกจากนี้ TKN กำลังวางแผนที่จะทำงานร่วมกับผู้จัดจำหน่ายในยุโรปมากขึ้น แม้ว่าแผนการยังไม่เป็นรูปธรรมก็ตาม ส่วนในประเทศจีน ยอดขายอาจลดลง 2% ในปี 67 TKN วางแผนที่จะเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มเติม (เช่น Temu) เพื่อให้ทันกับแนวโน้มการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในจีน
แต่ข่าวดีนี้ถูกชดเชยด้วยแรงกดดันด้านต้นทุนที่ยังคงสูงอยู่จากราคาสาหร่ายที่สูงขึ้น (33% ของ COGS ) ซึ่งเพิ่มขึ้น 50% YTD คงประมาณการ คำแนะนำ “ถือ” และเป้าหมายที่ 10.30 บาท