จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : CCET รับอานิสงส์ย้ายฐานการผลิต สงครามการค้า“สหรัฐฯ-จีน”และ“จีน-ไต้หวัน”
09 กันยายน 2567
บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) รับผลบวกสงครามการค้า“สหรัฐฯ-จีน”และ“จีน-ไต้หวัน” กระตุ้นเร่งย้ายฐานการผลิตมาไทยและประเทศอื่นๆในอาเซียน หนุนผลงานเติบโตต่อเนื่อง
บล.เคจีไอ วิเคราะห์ บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) โดยระบุว่า แนวโน้มกำไรดีต่อเนื่อง และมี Upside ซึ่ง KGI ได้ปรับสมมติฐานและเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 – 2568 หลังจากกำไรไตรมาส 2/67 ของ CCET เติบโตสอดคล้องกับความคาดหมาย แต่รายการทางบัญชีแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้
โดยจากข้อมูลในการประชุมนักวิเคราะห์ เราได้ปรับปรุงสมมติฐานดังนี้
1) ลดประมาณการรายได้ปี 2567 – 68 ลง 5% และ 1.5% เหลือ 14.6 พันล้านบาท และ 15.8 พันล้านบาท ตามลำดับ
คาดว่ารายได้จะฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งแรกปี 67 เนื่องจากการ Restock ทั่วโลกและการเพิ่มสัดส่วนการผลิตสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูง อย่างไรก็ตามประมาณการก่อนหน้านี้ของเราประเมินโรงงานใหม่ในจังหวัดเพชรบุรีสูงเกินไป เนื่องจากโรงงานจะเริ่มการทดสอบการผลิตในไตรมาส 4/67 และเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2568
2) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 2/67 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 1.1 พันล้านบาท (จาก 760 ล้านบาทในไตรมาส 1/67) หลังจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.05% ในไตรมาส 2/67 จาก 2.4% ในไตรมาส 1/37 คาดว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะคงอยู่ที่ 1 พันล้านบาทต่อไตรมาสในครึ่งหลังของปี 67 และปี 2568 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการวิจัยพัฒนาและการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่
3) ปรับลดดอกเบี้ยรับสุทธิ (ดอกเบี้ยรับ - ดอกเบี้ยจ่าย) เหลือ 89 ล้านบาท (จาก 234 ล้านบาทในไตรมาส 1/67) เนื่องจากการชำระคืนเงินกู้เร็วกว่าที่คาด โดยเงินกู้ระยะยาวลดลงจาก 11.3 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/67 เหลือ 8.5 พันล้านบาทในไตรมาส 2/67
อย่างไรก็ตาม เราตั้งสมมติฐานอย่างระมัดระวังว่า ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในคครึ่งหลังของปี 67 เป็นราว 150 ล้านบาทต่อไตรมาส จาก 89 ล้านบาทในไตรมาส 2/67 เนื่องจากคาดจะมีรายจ่ายลงทุนสำหรับโรงงานใหม่ 4) เรายังคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ 5.49% ในปีไตรมาส 1/67 และ 5.55% ในปีไตรมาส 1/68 โดยรวมแล้ว เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 – 68 ขึ้น 11% และ 20% เป็น 2.6 พันล้านบาท และ3.2 พันล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้มองว่า สงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่าง “สหรัฐฯ-จีน” รวมทั้ง “จีน-ไต้หวัน” จะทำให้เกิดการเร่งการย้ายฐานการผลิตมาไทยและประเทศอื่นๆ โดย CCET เริ่มได้รับประโยชน์จากแนวโน้มนี้แล้ว ล่าสุดมีลูกค้ารายใหญ่ 2 ราย จากจีนและเวียดนาม กำลังจะย้ายการผลิตมายังโรงงานแห่งใหม่ของ CCET เพื่อกระจายความเสี่ยงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ ธุรกิจ EV charger ที่เป็นสินค้าใหม่ของ CCET คาดจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-จีน เนื่องจากล่าสุดทางการสหรัฐฯใช้มาตรการทางภาษีกับค่ายรถ EV จีน ขณะที่ลูกค้าของ CCET เป็นผู้ผลิต EV charger รายใหญ่ที่สหรัฐฯ (ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในสหรัฐฯ)
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของ CCET เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 1/67-ไตรมาส 2/67 ตามคาด เนื่องจากบริษัทลดสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำ (โดยเฉพาะ HHDs) และเพิ่มสัดส่วนสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น อย่างไรก็ดีเรายังคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นแบบอนุรักษ์นิยมไว้ โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งหลังปี 67 จะทรงตัวที่ราว 5.5% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/67 และแนวโน้มจะทยอยปรับสูงขึ้นในปี 2568 หลังจากสัดส่วนการผลิต สินค้าใหม่เริ่มทยอยเพิ่มขึ้น
โดยสรุปยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดย EV/EBITDA ที่ 6.8 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต -0.5 S.D. ในขณะที่กำไรปี 2567 - 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราปรับราคาเป้าหมายเป็น 5.10 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 8.8 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต +1.0 S.D. และมี upside 42.5% สวนความเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว นโยบายค่าแรง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ CCET รายงานผลการดำเนินงานในงวดหกเดือนแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิ 35.03 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 1,277.65 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 86.93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
บล.เคจีไอ วิเคราะห์ บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) โดยระบุว่า แนวโน้มกำไรดีต่อเนื่อง และมี Upside ซึ่ง KGI ได้ปรับสมมติฐานและเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 – 2568 หลังจากกำไรไตรมาส 2/67 ของ CCET เติบโตสอดคล้องกับความคาดหมาย แต่รายการทางบัญชีแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้
โดยจากข้อมูลในการประชุมนักวิเคราะห์ เราได้ปรับปรุงสมมติฐานดังนี้
1) ลดประมาณการรายได้ปี 2567 – 68 ลง 5% และ 1.5% เหลือ 14.6 พันล้านบาท และ 15.8 พันล้านบาท ตามลำดับ
คาดว่ารายได้จะฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งแรกปี 67 เนื่องจากการ Restock ทั่วโลกและการเพิ่มสัดส่วนการผลิตสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูง อย่างไรก็ตามประมาณการก่อนหน้านี้ของเราประเมินโรงงานใหม่ในจังหวัดเพชรบุรีสูงเกินไป เนื่องจากโรงงานจะเริ่มการทดสอบการผลิตในไตรมาส 4/67 และเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2568
2) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 2/67 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 1.1 พันล้านบาท (จาก 760 ล้านบาทในไตรมาส 1/67) หลังจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.05% ในไตรมาส 2/67 จาก 2.4% ในไตรมาส 1/37 คาดว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะคงอยู่ที่ 1 พันล้านบาทต่อไตรมาสในครึ่งหลังของปี 67 และปี 2568 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการวิจัยพัฒนาและการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่
3) ปรับลดดอกเบี้ยรับสุทธิ (ดอกเบี้ยรับ - ดอกเบี้ยจ่าย) เหลือ 89 ล้านบาท (จาก 234 ล้านบาทในไตรมาส 1/67) เนื่องจากการชำระคืนเงินกู้เร็วกว่าที่คาด โดยเงินกู้ระยะยาวลดลงจาก 11.3 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/67 เหลือ 8.5 พันล้านบาทในไตรมาส 2/67
อย่างไรก็ตาม เราตั้งสมมติฐานอย่างระมัดระวังว่า ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในคครึ่งหลังของปี 67 เป็นราว 150 ล้านบาทต่อไตรมาส จาก 89 ล้านบาทในไตรมาส 2/67 เนื่องจากคาดจะมีรายจ่ายลงทุนสำหรับโรงงานใหม่ 4) เรายังคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ 5.49% ในปีไตรมาส 1/67 และ 5.55% ในปีไตรมาส 1/68 โดยรวมแล้ว เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 – 68 ขึ้น 11% และ 20% เป็น 2.6 พันล้านบาท และ3.2 พันล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้มองว่า สงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่าง “สหรัฐฯ-จีน” รวมทั้ง “จีน-ไต้หวัน” จะทำให้เกิดการเร่งการย้ายฐานการผลิตมาไทยและประเทศอื่นๆ โดย CCET เริ่มได้รับประโยชน์จากแนวโน้มนี้แล้ว ล่าสุดมีลูกค้ารายใหญ่ 2 ราย จากจีนและเวียดนาม กำลังจะย้ายการผลิตมายังโรงงานแห่งใหม่ของ CCET เพื่อกระจายความเสี่ยงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ ธุรกิจ EV charger ที่เป็นสินค้าใหม่ของ CCET คาดจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-จีน เนื่องจากล่าสุดทางการสหรัฐฯใช้มาตรการทางภาษีกับค่ายรถ EV จีน ขณะที่ลูกค้าของ CCET เป็นผู้ผลิต EV charger รายใหญ่ที่สหรัฐฯ (ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในสหรัฐฯ)
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของ CCET เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 1/67-ไตรมาส 2/67 ตามคาด เนื่องจากบริษัทลดสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำ (โดยเฉพาะ HHDs) และเพิ่มสัดส่วนสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น อย่างไรก็ดีเรายังคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นแบบอนุรักษ์นิยมไว้ โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งหลังปี 67 จะทรงตัวที่ราว 5.5% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/67 และแนวโน้มจะทยอยปรับสูงขึ้นในปี 2568 หลังจากสัดส่วนการผลิต สินค้าใหม่เริ่มทยอยเพิ่มขึ้น
โดยสรุปยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดย EV/EBITDA ที่ 6.8 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต -0.5 S.D. ในขณะที่กำไรปี 2567 - 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราปรับราคาเป้าหมายเป็น 5.10 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 8.8 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต +1.0 S.D. และมี upside 42.5% สวนความเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว นโยบายค่าแรง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ CCET รายงานผลการดำเนินงานในงวดหกเดือนแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิ 35.03 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 1,277.65 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 86.93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน