สำหรับความคืบหน้าการขายกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ในปัจจุบันก็ได้ถูกเปิดเผยรายละเอียด โดย นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานของกองทุนรวมวายุภักษ์ ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. กองทุนรวมวายุภักษ์ 1
โดยรายละเอียดจะเปิดให้ “ประชาชน” จองซื้อวันที่ 16-20 กันยายน 2567 และจะทราบผลในวันที่ 23 กันยายน 2567 พร้อมกับปรับเงื่อนไขการลงทุนในหุ้นโดยเพิ่มตัวเลือกในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีคะแนน ESG สูง จากแค่ในกลุ่ม SET50 และ SET100 แต่จะมีผลต่อดังกล่าวเช่นไรไปดูมุมมองจากนักวิเคราะห์กัน
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้คัดเลือกหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีโอกาส outperform SET โดยเลือกจาก หุ้นกลางและเล็กที่ปรับขึ้นมาไม่มาก ตั้งแต่ SET ลงไปต่ำสุดครั้งสุดท้ายในวันที่ 6 ส.ค. 67, และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับราคาในวันที่ SET จุดสูงสุดครั้งสุดท้าย วันที่ 3 ม.ค. 66
รวมไปถึงมี ESG rating สูง (A, AA, AAA) และมีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตดีในช่วงปี 2568 และจ่ายเงินปันผล โดยหุ้น Top picks ประกอบไปด้วย OSP, BGRIM, SJWD, CENTEL, SCGP และ GPSC ส่วนปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัวเราก็ได้ทำการรวบรวมมานำเสนอให้แก่ผู้อ่านด้วยเช่นกัน
โดย OSP นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังจะลดลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจเครื่องดื่มในต่างประเทศและมีผลขาดทุนจากการด้อยค่า (ไม่เกิน 800 ล้านบาท) ที่เกิดจากการขายธุรกิจขวดแก้วในเมียนมาร์ออกไป
แต่ยังไรก็ดี หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนยังเติบโตได้ 16% จาการบริโภคในประเทศจะเร่งตัวขึ้น และ การปรับตําแหน่งของแบรนด์จะทําให้จับกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น จึงคาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 3,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% ทั้งนี้ แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 25.25 บาท เพื่อรับปัจจัยของธุรกิจหลักที่จะกลับมาสู่ระดับปกติในปี 2568
BGRIM นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลังปี 67 ยังไม่เด่น โดยประเมินกำไรไตรมาส 3/67 ที่ระดับ 400-500 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า หลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นสูง
ขณะที่เมี่อเทียบกับช่วงเดียวกัน จะลดลงจากฐานที่สูง หลังถูกกดดันจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลงเร็วกว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติร รวมถึงค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาดกำไรทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ 1,802 ล้านบาท ลดลง 12% ดังนั้น การฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้น-กลางจะยังคงถูกจำกัด จึงแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 25 บาท
SJWD นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ได้ปรับลดประมาณการกําไรปี 2567 -2569 ลง 25-33% จากตลาดรถยนต์ที่อ่อนแอซึ่ง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโลจิสติกส์ยานยนต์และการจัดการลานจอด รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาซึ่งกระทบต่อธุรกิจการจัดการคลังสินค้ายอดขายรถยนต์ภายในประเทศของทั้งอุตสาหกรรมลดลง
แต่อย่างไรก็ดี ในปี 2568 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของ 3 ธุรกิจหลัก จากแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและส่วนแบ่งกําไรจากบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้น ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท เนื่องจากราคาหุ้นที่ลดลงแล้วได้รับข่าวร้ายไปมากแล้ว และเพื่อรับทิศทางธุรกิจที่จะดีขึ้นตั้งแต่ปีหน้า
CENTEL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า กำไรไตรมาส 3/67 จะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและอัตราการเข้าพักต่ำในทุกกลุ่มภูมิภาค และมีปิดปรับปรุงโรงแรมบางส่วน แต่ในไตรมาส 4/67 จะฟื้นตัวดีขึ้น จากการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ต่อเนื่องและช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยวในประเทศไทยและมัลดีฟส์
ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48.20 บาท ด้วยมูลค่าหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบันอยู่ระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจโรงแรม และกระแสเงินที่ยังเเข็งแกร่ง สะท้อนจากภาระดอกเบี้ยต่อเงินทุนที่อยู่ระดับต่ำหรือ D/E ที่ 0.9 เท่า
SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรในช่วงไตรมาส 3/67 และ 4/67 จะอยู่ที่ระดับ 1,400 ล้านบาทและ 1,200 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่องรายไตรมาส หลังถูกกดดันจากการรับรู้ผลขาดทุนจาก Fajar ที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น
พร้อมกับปรับลดประมาณการกำไรปี ปี 2567-68 ลง เป็น 5,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และ 6,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เพื่อสะท้อนการรับรู้ผลขาดทุนและต้นทุนทางการเงินข้างต้น แต่อย่างไรก็ดีกำไรปกติยังเติบโตได้ จากการบริโภคในภูมิภาคอาเซียนที่ฟื้นตัวและภาคการผลิตจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว ราคาเป้าหมาย 29 บาท
สุดท้าย GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 3/67 จะเป็นจุดพีคของปี จากการจ่ายไฟฟ้าของ XPCL และอุปสงค์ที่มากขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP ขณะที่กำไรไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน จากส่วนแบ่งปันกำไร XPCL เพิ่มขึ้น อัตรากำไรที่สูงขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP และกำไรจาก CFXD ที่เริ่มดาเนินการเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ GPSC ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับธีมการประมูลพลังงานหมุนเวียนครั้งต่อไปของกกพ. โดยถ้าบริษัทชนะการประมูลกำลังผลิตทุกๆ 100 เมกะวัตต์ในโครงการโซลาร์-PV จะมีอัพไซด์ต่อกำไร 1% และราคาเป้าหมายอีก 0.05 บาท การชนะ PPA สำหรับโครงการพลังงานลมทุก 100 เมกะวัตต์ มีอัพไซด์ต่อกำไรระยะยาว 4% และราคาเป้าหมายอีก 0.46 บาท จึง แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 51 บาท
โดยรายละเอียดจะเปิดให้ “ประชาชน” จองซื้อวันที่ 16-20 กันยายน 2567 และจะทราบผลในวันที่ 23 กันยายน 2567 พร้อมกับปรับเงื่อนไขการลงทุนในหุ้นโดยเพิ่มตัวเลือกในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีคะแนน ESG สูง จากแค่ในกลุ่ม SET50 และ SET100 แต่จะมีผลต่อดังกล่าวเช่นไรไปดูมุมมองจากนักวิเคราะห์กัน
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้คัดเลือกหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีโอกาส outperform SET โดยเลือกจาก หุ้นกลางและเล็กที่ปรับขึ้นมาไม่มาก ตั้งแต่ SET ลงไปต่ำสุดครั้งสุดท้ายในวันที่ 6 ส.ค. 67, และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับราคาในวันที่ SET จุดสูงสุดครั้งสุดท้าย วันที่ 3 ม.ค. 66
รวมไปถึงมี ESG rating สูง (A, AA, AAA) และมีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตดีในช่วงปี 2568 และจ่ายเงินปันผล โดยหุ้น Top picks ประกอบไปด้วย OSP, BGRIM, SJWD, CENTEL, SCGP และ GPSC ส่วนปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัวเราก็ได้ทำการรวบรวมมานำเสนอให้แก่ผู้อ่านด้วยเช่นกัน
โดย OSP นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังจะลดลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจเครื่องดื่มในต่างประเทศและมีผลขาดทุนจากการด้อยค่า (ไม่เกิน 800 ล้านบาท) ที่เกิดจากการขายธุรกิจขวดแก้วในเมียนมาร์ออกไป
แต่ยังไรก็ดี หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนยังเติบโตได้ 16% จาการบริโภคในประเทศจะเร่งตัวขึ้น และ การปรับตําแหน่งของแบรนด์จะทําให้จับกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น จึงคาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 3,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% ทั้งนี้ แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 25.25 บาท เพื่อรับปัจจัยของธุรกิจหลักที่จะกลับมาสู่ระดับปกติในปี 2568
BGRIM นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลังปี 67 ยังไม่เด่น โดยประเมินกำไรไตรมาส 3/67 ที่ระดับ 400-500 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า หลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นสูง
ขณะที่เมี่อเทียบกับช่วงเดียวกัน จะลดลงจากฐานที่สูง หลังถูกกดดันจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลงเร็วกว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติร รวมถึงค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาดกำไรทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ 1,802 ล้านบาท ลดลง 12% ดังนั้น การฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้น-กลางจะยังคงถูกจำกัด จึงแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 25 บาท
SJWD นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ได้ปรับลดประมาณการกําไรปี 2567 -2569 ลง 25-33% จากตลาดรถยนต์ที่อ่อนแอซึ่ง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโลจิสติกส์ยานยนต์และการจัดการลานจอด รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาซึ่งกระทบต่อธุรกิจการจัดการคลังสินค้ายอดขายรถยนต์ภายในประเทศของทั้งอุตสาหกรรมลดลง
แต่อย่างไรก็ดี ในปี 2568 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของ 3 ธุรกิจหลัก จากแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและส่วนแบ่งกําไรจากบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้น ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท เนื่องจากราคาหุ้นที่ลดลงแล้วได้รับข่าวร้ายไปมากแล้ว และเพื่อรับทิศทางธุรกิจที่จะดีขึ้นตั้งแต่ปีหน้า
CENTEL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า กำไรไตรมาส 3/67 จะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและอัตราการเข้าพักต่ำในทุกกลุ่มภูมิภาค และมีปิดปรับปรุงโรงแรมบางส่วน แต่ในไตรมาส 4/67 จะฟื้นตัวดีขึ้น จากการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ต่อเนื่องและช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยวในประเทศไทยและมัลดีฟส์
ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48.20 บาท ด้วยมูลค่าหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบันอยู่ระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจโรงแรม และกระแสเงินที่ยังเเข็งแกร่ง สะท้อนจากภาระดอกเบี้ยต่อเงินทุนที่อยู่ระดับต่ำหรือ D/E ที่ 0.9 เท่า
SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรในช่วงไตรมาส 3/67 และ 4/67 จะอยู่ที่ระดับ 1,400 ล้านบาทและ 1,200 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่องรายไตรมาส หลังถูกกดดันจากการรับรู้ผลขาดทุนจาก Fajar ที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น
พร้อมกับปรับลดประมาณการกำไรปี ปี 2567-68 ลง เป็น 5,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และ 6,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เพื่อสะท้อนการรับรู้ผลขาดทุนและต้นทุนทางการเงินข้างต้น แต่อย่างไรก็ดีกำไรปกติยังเติบโตได้ จากการบริโภคในภูมิภาคอาเซียนที่ฟื้นตัวและภาคการผลิตจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว ราคาเป้าหมาย 29 บาท
สุดท้าย GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 3/67 จะเป็นจุดพีคของปี จากการจ่ายไฟฟ้าของ XPCL และอุปสงค์ที่มากขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP ขณะที่กำไรไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน จากส่วนแบ่งปันกำไร XPCL เพิ่มขึ้น อัตรากำไรที่สูงขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP และกำไรจาก CFXD ที่เริ่มดาเนินการเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ GPSC ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับธีมการประมูลพลังงานหมุนเวียนครั้งต่อไปของกกพ. โดยถ้าบริษัทชนะการประมูลกำลังผลิตทุกๆ 100 เมกะวัตต์ในโครงการโซลาร์-PV จะมีอัพไซด์ต่อกำไร 1% และราคาเป้าหมายอีก 0.05 บาท การชนะ PPA สำหรับโครงการพลังงานลมทุก 100 เมกะวัตต์ มีอัพไซด์ต่อกำไรระยะยาว 4% และราคาเป้าหมายอีก 0.46 บาท จึง แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 51 บาท