Talk of The Town

เปิดมุมมองนักวิเคราะห์! ศึกดีเบต Trump VS Harris ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ


12 กันยายน 2567
ผ่านไปแล้วสำหรับเวที debate ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วานนี้ (11) Harris ได้คะแนนเหนือ Trumpโดย บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ผ่ามุมมองในส่วนที่เกี่ยวกับตลาดหุ้นไทย มีสองเรื่อง คือ เรื่อง Trump จะยังใช้นโยบายภาษีกับสินค้านำเข้าต่อ ลบต่อหุ้นส่งออก ส่วนนโยบายด้านพลังงาน   Harris สนับสนุนนโยบายการสกัดก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินใต้ดิน (Shale Gas) 

เปิดมุมมองนักวิเคราะห์ไทย_S2T (เว็บ) copy_0.jpg

ขณะที่ Trump ก็มีแนวทางคล้ายกัน โดยมุ่งยกเลิกกฎระเบียบการผลิตน้ำมันบางส่วน ทั้งคู่มีจุดยืนตรงกันในการเพิ่มการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ หากมีการใช้นโยบายเหล่านี้ คาดว่าจะทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ผลการดีเบตระหว่างผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างคามาลา แฮร์ริส (พรรคเดโมแครต) VS. โดนัลด์ ทรัมป์ (พรรคริพับลิกัน) โดยรวมสรุปตลาดให้คะแนน คามาลา แฮร์ริส มากกว่า ทรัมป์ ในรอบนี้ อิง CNN ผลการสำรวจพบว่า แฮร์ริส VS. ทรัมป์ 63% ต่อ 37% (VS. 50% ต่อ 50% ก่อนการดีเบต)

แต่ผลที่เกิดคือราคาคริปโทเคอร์เรนซีอาทิ Bitcoin ปรับตัวลดลงหลุด 5.7 หมื่นดอลลาร์ เพราะทรัมป์สนับสนุน Crypto จึงประเมินเป็นจิตวิทยาบลบต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Cryptocurrency อาทิ BTC, TTS, JTS 

สำหรับคีย์หลักๆคือ 1.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ยังมีเป้าหมายที่จะเดินหน้ากีดกันการค้ากับจีนต่อ และน้ำหนักการกีดกันมากกว่าคามาลา แฮร์ริส ให้ยังคงมุมมองกระแสเม็ดเงินย้ายไปลงทุนในประเทศในฝั่งเอเซีย 

ส่วนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ไม่ว่าฝั่งใดจะชนะเลือกตั้งคือ กลุ่มนิคม เน้น WHA นโยบายอื่นๆที่ถกคือ การทำแท้ง สงครามในตะวันออกกลาง จึงประเมินรายละเอียดยังไม่ชัดเจนและมีผลต่อตลาด ทำให้ยังให้น้ำหนักต่อในการดีเบตครั้งถัดไป 5 พ.ย.2567

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่าวานนี้ในการดีเบตกันครั้งแรกระหว่าง ทรัมป์ (พรรคริพับลิกัน) & แฮร์ริส (พรรคเดโมแครต) ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย จัดขึ้นก่อนวันเลือกตั้งจริง 56 วัน ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากทั่วโลก ซึ่งนโยบายหาเสียงสำคัญที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจค่อนข้างมีมุมองที่แตกต่างกัน

ขณะที่นโยบายการเก็บภาษีของทั้ง 2 พรรค สวนทางกันอย่างชัด โดยพรรคเดโมแครต “หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง” จะเพิ่ม CORPORATE TAX จาก 21% เป็น 28% ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อ EPS GROWTH สหรัฐแต่อาจหนุนฟันด์โฟลว์อาจไหลเข้าหุ้นไทยเพิ่มต่อก็ได้

ส่วนพรรคริพับลิกัน “หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง” จะลด CORPORATE TAX เหลือ 15% ซึ่งมีโอกาสที่ EPS GROWTH จะเพิ่มขึ้นดังเช่นปี 2559-2560 ช่วงที่ทรัมป์ขึ้นเป็น ปธน. สหรัฐฯ สมัยแรก อีกทั้งยังมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราสูง อาจทำให้สงครามการค้าเสี่ยงรุนแรงขึ้น

สำหรับธีมการลงทุน POLICY PLAY มักเหวี่ยงไปตามผล POLL สํารวจว่าพรรคใดจะครองเสียงคะแนนความนิยมมากกว่ากัน โดยล่าสุดคะแนนเสียงความนิยมของแฮร์ริสยังคงนำหน้าทรัมป์อยู่ที่ 48.4 ต่อ 47.3 ส่วนมุมมองข้อมูลสถิติในอดีตของผลตอบแทนตลาดหุ้นหลังวันดีเบตชิงเก้าอี้ ปธน. สหรัฐฯ พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค้อนข้างมีความผันผวน เฉพาะอย่างยิ่งช่วง 7 วันหลังการดีเบต กดดัน S&P500 ร่วงลงเฉลี่ยราว 1.5%