หลายคนที่ได้ติดตามข่าวสารก็คงจะพอรู้ว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั้นมีการลงทุนถือครองหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 2 แห่ง นั่นก็คือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC และ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9
ดังนั้นในครั้งนี้ Share2Trade จะพานักลงทุนไปเจาะลึกรายละเอียดของแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของทั้งสองบริษัท รวมไปถึงคาดการณ์ผลประกอบการจากมุมมองนักวิเคราะห์ และกรอบราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ได้ประเมินไว้
เริ่มจากที่บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ที่ปรากฏรายชื่อ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่หนึ่ง
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มีมุมมอง neutral ต่อข้อมูลใน analyst meeting จากประเด็นเรื่อง แนวโน้มไตรมาส 3/67 ทั้งในส่วนของยอดพรีเซล และยอดโอนมีสัญญาณดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แต่เทียบถ้าเทียบกับปีก่อนคาดทรงตัวหรือลดลง ดังนั้นทำให้แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 อาจยังไม่ดีนัก และคาดยังลดลงจากปีก่อน
ถึงแม้ว่าทาง SC คงเป้าปี 67 ที่คาดว่ายอดขายจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่ายอดโอนจะเพิ่มขึ้น 5% แต่อย่างไรก็ตามคาดมีโอกาส downside 5-10% จากในครึ่งปีแรกที่ที่ต่ำกว่าเป้าหมาย
ขณะที่แนวโน้ม GPM residential ในครึ่งปีหลังคาดยังลดลงจากปีก่อน เพราะมีเรื่องของราคาโปรโมชั่นที่ยังมากอยู่ ส่วนการลงทุนใน non-residential ทั้งในส่วนของโรงแรม และคลังสินค้า ที่เป็นรูปแบบร่วมทุนเพื่อลดความเสี่ยงแต่จะมีบทบาทต่อกำไรสุทธิใน 68-69 เป็นต้นไป
ดังนั้นยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ไว้ที่ 2 พันล้านบาท ลดลง 18% จากปีก่อน โดย extra gain ที่อาจเกิดขึ้นในไตรมาส 4/67 ราว100-150 ล้านบาท จะช่วยจำกัด downside risk ได้
โดยคงราคาเป้าหมายปี 68 ไว้ที่ 3.20บาท ในระยะสั้นคาดราคาหุ้นถูกกดดันจากแนวโน้มกาไรสุทธิไตรมาส 3/67 ไม่ดีนักแต่ระยะยาวยังแนะนำ ซื้อ จากแผนธุรกิจ aggressive3ปีข้างหน้า ทั้งresidential และการขยายสู่ธุรกิจใหม่เพื่อสร้างnew S-curve ทำให้คาดกำไรสุทธิใน 68 เป็นต้นไปจะกลับมาโตต่อเนื่องและสม่ำเสมอขึ้น
ด้านของ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ซึ่งมี คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่หนึ่ง และแพทองธาร ชินวัตร ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 14
โดย นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้มุมมองภายหลังจากการประชุมนักวิเคราะห์ว่า ยังคงมีมุมมองเป็นกลาง และคำแนะนำยังคงเดิม ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 67
PR9 มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุการเติบโตของรายได้ในระดับตัวเลข 2 หลักในปี 67 โดยคาจะมีการเติบโตเร่งขึ้นในครึ่งปีหลังเนื่องจากปัจจัยตามฤดูกาลและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ
การเพิ่มขึ้นของรายได้ในใตรมาสที่สองของบริษัทเกิดจากการใช้จ่ายต่อการเข้ารับบริการของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยต่างชาติเป็นผู้มีส่วนสำคัญหลักต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัท 24% จากปีก่อน (เทียบกับ +5% สำหรับผู้ป่วยชาวไทย) โดย PR9 ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 20% จากผู้ป่วยต่างชาติภายในสองถึงสามปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยที่มีประกันเป็น 30% ในอีกสองปีข้างหน้า โดยได้รับการสนับสนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและตำแหน่งที่พร้อมจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการร่วมจ่ายที่เพิ่มขึ้นในแผนประกันใหม่ๆ
แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการขยายกิจการจะเพิ่มขึ้น แต่ PR9 เชื่อว่าการเติบโตของรายได้สามารถชุดเชยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ และยังสามารถปรับปรุงอัตรากำไรได้
ขณะเดียวกันบริษัทให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์สูงสุดจากความสามสามารถในการรองรับผู้ป่วยที่มีอยู่ในปัจจุบันก่อนที่จะพิจารณาการขยายกิจการ ดังนั้น แผนการเพิ่มจำนวนเตียงอาจถูกเลื่อนออกไปเป็นครึ่งหลังปี 68 ขึ้นอยู่กับการเติบโตของความต้องการ โดยคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ PR9 โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 23 บาท
ดังนั้นในครั้งนี้ Share2Trade จะพานักลงทุนไปเจาะลึกรายละเอียดของแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของทั้งสองบริษัท รวมไปถึงคาดการณ์ผลประกอบการจากมุมมองนักวิเคราะห์ และกรอบราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ได้ประเมินไว้
เริ่มจากที่บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ที่ปรากฏรายชื่อ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่หนึ่ง
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มีมุมมอง neutral ต่อข้อมูลใน analyst meeting จากประเด็นเรื่อง แนวโน้มไตรมาส 3/67 ทั้งในส่วนของยอดพรีเซล และยอดโอนมีสัญญาณดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แต่เทียบถ้าเทียบกับปีก่อนคาดทรงตัวหรือลดลง ดังนั้นทำให้แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 อาจยังไม่ดีนัก และคาดยังลดลงจากปีก่อน
ถึงแม้ว่าทาง SC คงเป้าปี 67 ที่คาดว่ายอดขายจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่ายอดโอนจะเพิ่มขึ้น 5% แต่อย่างไรก็ตามคาดมีโอกาส downside 5-10% จากในครึ่งปีแรกที่ที่ต่ำกว่าเป้าหมาย
ขณะที่แนวโน้ม GPM residential ในครึ่งปีหลังคาดยังลดลงจากปีก่อน เพราะมีเรื่องของราคาโปรโมชั่นที่ยังมากอยู่ ส่วนการลงทุนใน non-residential ทั้งในส่วนของโรงแรม และคลังสินค้า ที่เป็นรูปแบบร่วมทุนเพื่อลดความเสี่ยงแต่จะมีบทบาทต่อกำไรสุทธิใน 68-69 เป็นต้นไป
ดังนั้นยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ไว้ที่ 2 พันล้านบาท ลดลง 18% จากปีก่อน โดย extra gain ที่อาจเกิดขึ้นในไตรมาส 4/67 ราว100-150 ล้านบาท จะช่วยจำกัด downside risk ได้
โดยคงราคาเป้าหมายปี 68 ไว้ที่ 3.20บาท ในระยะสั้นคาดราคาหุ้นถูกกดดันจากแนวโน้มกาไรสุทธิไตรมาส 3/67 ไม่ดีนักแต่ระยะยาวยังแนะนำ ซื้อ จากแผนธุรกิจ aggressive3ปีข้างหน้า ทั้งresidential และการขยายสู่ธุรกิจใหม่เพื่อสร้างnew S-curve ทำให้คาดกำไรสุทธิใน 68 เป็นต้นไปจะกลับมาโตต่อเนื่องและสม่ำเสมอขึ้น
ด้านของ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ซึ่งมี คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่หนึ่ง และแพทองธาร ชินวัตร ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 14
โดย นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้มุมมองภายหลังจากการประชุมนักวิเคราะห์ว่า ยังคงมีมุมมองเป็นกลาง และคำแนะนำยังคงเดิม ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 67
PR9 มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุการเติบโตของรายได้ในระดับตัวเลข 2 หลักในปี 67 โดยคาจะมีการเติบโตเร่งขึ้นในครึ่งปีหลังเนื่องจากปัจจัยตามฤดูกาลและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ
การเพิ่มขึ้นของรายได้ในใตรมาสที่สองของบริษัทเกิดจากการใช้จ่ายต่อการเข้ารับบริการของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยต่างชาติเป็นผู้มีส่วนสำคัญหลักต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัท 24% จากปีก่อน (เทียบกับ +5% สำหรับผู้ป่วยชาวไทย) โดย PR9 ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 20% จากผู้ป่วยต่างชาติภายในสองถึงสามปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยที่มีประกันเป็น 30% ในอีกสองปีข้างหน้า โดยได้รับการสนับสนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและตำแหน่งที่พร้อมจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการร่วมจ่ายที่เพิ่มขึ้นในแผนประกันใหม่ๆ
แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการขยายกิจการจะเพิ่มขึ้น แต่ PR9 เชื่อว่าการเติบโตของรายได้สามารถชุดเชยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ และยังสามารถปรับปรุงอัตรากำไรได้
ขณะเดียวกันบริษัทให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์สูงสุดจากความสามสามารถในการรองรับผู้ป่วยที่มีอยู่ในปัจจุบันก่อนที่จะพิจารณาการขยายกิจการ ดังนั้น แผนการเพิ่มจำนวนเตียงอาจถูกเลื่อนออกไปเป็นครึ่งหลังปี 68 ขึ้นอยู่กับการเติบโตของความต้องการ โดยคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ PR9 โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 23 บาท