ชัดแล้ว! 25 ก.ย.นี้กลุ่มเปราะบางได้เงินหมื่น แต่โบรกฯมองเป็นลบต่อกลุ่มค้าปลีก เหตุแจกเงินเฟส 2 อาจไม่มาตามนัด
ในวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีของแพทองธารได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เปิดเผยถึงไทม์ไลน์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยในวันที่ 25 ก.ย.นี้ จะสามารถแจกเงินก้อนแรก 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.2 ล้านคนได้ วงเงิน 1.42 แสนล้านบาท
จากความคืบหน้าที่ออกมาชัดเจนจึงถือเป็นประเด็นบวกต่อเศรษฐกิจ แต่สำหรับตลาดทุนและหุ้นรายตัวจะเป็นเช่นไรนั้น ทางเราก็ได้ยกมุมมองจากนักวิเคราะห์มาฝากให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนกัน
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงข่าวที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงแนวทางการดำเนินนโยบาย Digital Wallet ที่จะทำให้เร็วที่สุด โดยก้อนแรกจะให้เต็มจำนวน 10,000 บาท กลุ่มเปราะบางและผู้พิการ 14.2 ล้านคน ใช้งบประมาณ 1.4 แสนล้านบาท และพร้อมให้เงินก้อนแรกไหลเข้าระบบ 25 ก.ย. นี้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการดำเนินเฟสที่ 2 เนื่องจากรัฐบาลมีงบประมาณที่จำกัด อยากให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะงบกลางกับการปรับปรุงโครงสร้างที่เป็นจุดอ่อนแอของประเทศก่อน เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะปานกลางและระยะยาว
โดยถ้ามีเงินเหลือที่พอจะได้ก็จะเจียดมาสู่เฟส 2 ซึ่งเป็นการจัดลำดับความสำคัญที่ต่ำลงมา แม้ผิดไปจากความคาดหวังจากที่รองนายกฯ ให้ข้อมูลต้นสัปดาห์ในส่วนการพิจารณาจ่ายเงินเฟส ที่ 2 ว่าจะจ่ายต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี
แต่เรามองเป็นกลางหรือจิตวิทยาลบเล็กๆ ต่อกลุ่มค้าปลีกเท่านั้น เนื่องจากอาจเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยลง จากความเสี่ยงเงินเฟ้อกลับมาขยับขึ้นเร็ว และจากผลกระทบนโยบายดังกล่าวที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกังวลจะจำกัดขึ้น
ทั้งนี้ ในเชิงกลยุทธ์ หากหุ้นอ่อนตัวลงมา มองเป็นโอกาสทยอยสะสม รับภาพเศรษฐกิจภายในกำลังฟื้นตัวเร่งขึ้นนับจากไตรมาส 3/67 รวมไปถึงโอกาสที่เม็ดเงินใหม่ ThaiESG และกองทุนวายุภักษ์เพิ่มน้ำหนักช่วงไตรมาส 4/67 เน้น CPALL, CPAXT และ BJC
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ความชัดเจนของโครงการ Digital Wallet เป็น Sentiment เป็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มค้าปลีกจากการบริโภคโดยรวมที่จะฟื้นตัวตามเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบมากขึ้น และเงื่อนไขใหม่ที่สามารถนำไปใช้กับสินค้าหรือร้านค้าชนิดใดก็ได้ย่อมเป็นบวกต่อภาพรวมกลุ่มผู้ประกอบการทุกราย
โดยคาดกำไรปกติครึ่งปีหลังปี 67 ของกลุ่มจะเติบโตช่วงเดียวกันด้วยฐานที่ต่ำ ขณะที่กำลังซื้อที่ฟื้นตัวและได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ การคุมต้นทุนและ Product mix ที่ช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น
ทั้งนี้ คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” แนะนำ ซื้อ CPALL ราคาเป้าหมาย 76 บาท, CPAXT ราคาเป้าหมาย 37 บาท และ BJC ราคาเป้าหมาย 28 บาท