Wealth Sharing

STGT-TEGH นำทัพกลุ่มยางพาราพุ่ง รับสหรัฐฯ จ่อขึ้นภาษีถุงมือยางนำเข้าจากจีน แถมได้แรงหนุนกังวลอุปทานหายเหตุน้ำท่วม


16 กันยายน 2567

ราคาหุ้นยางพาราคาวันนี้ (16 ก.ย.67) ปรับตัวเพิ่มอย่างร้อนแรง นำโดย STGT ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 23% ตามด้วย STA บวกกว่า 9% ส่วน NER บวกกว่า 5% ขณะที่ TEGH บวกกว่า 4%

STGT-TEGH นำทีมกลุ่มยางพาราพุ่ง_WS (เว็บ)_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินแรงหนุนจากกระแสข่าว US-China Tariff ขึ้นภาษีนำเข้าถุงมือยางกับจีน (ประเด็นเดิม) USTR จะปรับขึ้นภาษีถุงมือทางการแพทย์เป็น 25% ในปี 2567 และจะเพิ่มอัตราภาษีเป็น 50% ในปี 2568 และจะเพิ่มเป็น 100% ในปี 2569  หนุนแนวโน้มราคายางและการขายถุงมือยางเพิ่มขึ้น

ขณะที่มุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า STGT และ STA มีข่าว US ขึ้นภาษีถุงมือทางการแพทย์นำเข้าจากจีนเป็น 50% ในปี 2568 และ 100% ในปี 2569 

ก่อนหน้านี้ เดือน พ.ค. สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ประกาศการขึ้นภาษีเบื้องต้นสินค้านำเข้าจากจีนหลายรายการ หนึ่งในนั้นคือ ถุงมือยางทางการแพทย์/ศัลยกรรม จะขึ้นเป็น 25% จากเดิม 7.5%

สรุป USTR ได้ประกาศตัวเลขขั้นสุดท้ายออกมาเป็นการขึ้นภาษี 50% ในปี 2568 และจะขึ้นเป็น 100% ในปี 2569 ถือว่าเซอร์ไพรส์ฝ่ายวิจัยและตลาด เพราะปรับขึ้นแรงมาก

โดยจีนมีส่วนแบ่งการตลาดถุงมือทางการแพทย์ (แบบใช้แล้วทิ้ง) ราว 8-10% ในปี 2023 รองอันดับหนึ่งอย่างมาเลเซีย 63% และไทย 20%

ดังนั้นมองข่าวนี้เป็นบวก เพราะจีนคือคู่แข่งสำคัญของไทยและมาเลเซีย จากตัวเลขการนำเข้าของสหรัฐในพิกัด 4015 ซึ่งถุงมือที่ใช้ทางการแพทย์อยู่ในรายการนี้ พบว่าปี 2023 สหรัฐมีการนำเข้าจากมาเลเซียมากสุดที่ USD955m คิดเป็นสัดส่วน 47% รองมาคือ ไทย 28% และจีน 22%

โดยการขึ้นภาษีครั้งนี้จะทำให้ราคานำเข้าถุงมือยางจากจีนในสหรัฐปรับขึ้นสูงมากจากปัจจุบันที่ 16-17 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 ชิ้น ถ้าขึ้น 50% จะเป็น 24-26 ดอลลาร์สหรัฐ และถ้าเป็น 100% จะขึ้นเป็น 32-34 ดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้แนะนำเก็งกำไร STGT จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากสุดของไทย และ STA จะได้ประโยชนลำดับถัดมา จากการรับรู้กำไรที่สูงขึ้นจาก STGT

และเชื่อว่าตลาดถุงมือยางไนไตรล์ (ซึ่งเป็นตลาดหลักของจีน) จะดุเดือดมากขึ้น หากจีนส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลง น่าจะหันไปทำตลาดอื่นมากขึ้นแทน ต้องติดตามการแข่งขันด้านราคาขายในตลาดอื่นต่อไป อย่างไรก็ตาม STGT มีรายได้หลักเป็นถุงมือยางธรรมชาติ 75% และถุงมือยางไนไตรล์ (NBR) 25%

ส่วนนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน มองว่า หุ้นในกลุ่มยางพาราและเกี่ยวเนื่องราคาปรับตัวขึ้น นำโดย STGT, STA, NER, TRUBB และ TEGH 

โดยทางฝ่ายมองแรงหนุนมาจากความกังวลอุปทานยางพารา หลังเกิดสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มลุกลามไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกยางพารา รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศเวียดนามที่เป็นหนึ่งในประเทศปลูกยางพาราเช่นกัน