Talk of The Town
“โอ้กะจู๋” เคาะราคา IPO 6.70 บาท P/E ที่ 24.13 เท่า ต่ำกว่าคู่เทียบ AU-MAGURO พบหุ้นไม่ติด Silent Period กว่า 91.05 ล้านหุ้น
18 กันยายน 2567
บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เจ้าของธุรกิจร้านอาหารเพื่อสุขภาพแบรนด์ชื่อดังอย่าง “โอ้กะจู๋” ล่าสุดประกาศราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) 6.70 บาทต่อหุ้น
หากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (วันที่1 กรกฎาคม 2566 - วันที่30 มิถุนายน 2567) ซึ่งเท่ากับ 169.08 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ หลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 609 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.28 บาทต่อหุ้น จะคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 24.13 เท่า
ทั้งในการพิจารณาข้อมูลประกอบการประเมินราคาหุ้นที่เสนอขาย บริษัทฯ ได้ทำการเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยพิจารณาจากบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ โดยบริษัทที่นำมาเปรียบเทียบ AU มี P/E ที่ระดับ 30.5 เท่า และMAGURO มี P/E ที่ระดับ 31 เท่า
โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 159.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 26.1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามสัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period มีจำนวน 91,050,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 14.95 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่ปรากฎในหัวข้อ “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” (ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร ที่ไม่ติด silent period และผู้ถือหุ้นเดิมอื่นๆ)
ได้เข้าทำหนังสือข้อตกลงกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เพื่อตกลงจำกัดสิทธิในหุ้นที่เหลือจำนวนรวม 115,050,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 18.9ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้(ซึ่งรวมถึงหุ้นที่จะได้มาจากการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่(Big Lot Board) ระหว่างผู้ถือหุ้น ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ)
โดยตกลงจำกัดสิทธิของตนว่าจะไม่จำนำก่อภาระติดพัน แลกเปลี่ยน ขาย หรือจำหน่ายจ่ายโอนด้วยวิธีการใดซึ่งหุ้นที่ถูกจำกัดการโอนซึ่งตนถืออยู่ให้แก่บุคคลอื่นใดในช่วงระยะเวลา 180 วัน นับตั้งแต่วันที่หุ้นของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันแรก
นอกจากนี้ผู้บริหารของบริษัทฯ (ที่ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ) ที่ได้รับการจัดสรรและจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้ได้เข้าทำหนังสือข้อตกลงกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เพื่อตกลงจำกัดสิทธิของตนว่าจะไม่จำนำก่อภาระติดพัน แลกเปลี่ยน ขาย หรือจำหน่ายจ่ายโอนด้วยวิธีการใดซึ่งหุ้นที่ถูกจำกัดการโอนซึ่งตนถืออยู่ให้แก่บุคคลอื่นใดในช่วงระยะเวลา 180 วัน นับตั้งแต่วันที่หุ้นของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันแรก
ขณะเดียวกันนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1) นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล 2) นายจิรายุทธ ภูวพูนผล และ 3) นายวรเดช สุชัยบุญศิริ (รวมเรียกว่า “ผู้ร่วมก่อตั้ง”) และบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ("Modulus”) (บริษัทย่อยร้อยละ 100.0 ของ OR) ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น
โดย Modulus จะซื้อหุ้นสามัญเดิมจากผู้ร่วมก่อตั้งจำนวนรวม 31,800,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 5.2 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ในราคาเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บนกระดานรายใหญ่ (“Big Lot Board”) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับการซื้อหุ้นดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นของ Modulus ก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกนี้
อนึ่ง การขายหุ้นสามัญเดิมดังกล่าวไม่เป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกนี้ ทั้งนี้ หาก Modulus และ/หรือ OR มีความประสงค์จะขายหุ้นของบริษัทฯ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนที่ Modulus ถืออยู่ (ยกเว้นการขายหุ้นให้แก่บริษัทในเครือของ OR) Modulus จะต้องเสนอขายผู้ร่วมก่อตั้งเพื่อให้สิทธิผู้ร่วมก่อตั้งในการปฏิเสธก่อน (Right of First Refusal)
หากผู้ร่วมก่อตั้งปฏิเสธการซื้อหุ้นของบริษัทฯ ดังกล่าว หรือไม่ตอบกลับภายในระยะเวลาที่กำหนด Modulus จึงสามารถเสนอขายให้กับบุคคลภายนอกได้ในเงื่อนไขและราคาที่ไม่ต่ำกว่าที่เสนอให้กับผู้ร่วมก่อตั้ง
นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ร่วมก่อตั้งต้องการใช้สิทธิซื้อหุ้นของบริษัทที่ Modulus เสนอขายแค่บางส่วน Modulus จะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุด (Best Effort) ในการเจรจากับนักลงทุนที่สนใจซื้อ (Potential Buyer) เพื่อขายหุ้นของบริษัทฯ ในสัดส่วนที่เหลือจากที่ผู้ร่วมก่อตั้งต้องการ อย่างไรก็ตาม หาก Modulus ไม่สามารถเจรจากับนักลงทุนที่สนใจซื้อได้ Modulus มีสิทธิขายหุ้นของบริษัททั้งหมดที่ Modulus ต้องการขายในครั้งแรกให้แก่นักลงทุนที่สนใจซื้อได้
หากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (วันที่1 กรกฎาคม 2566 - วันที่30 มิถุนายน 2567) ซึ่งเท่ากับ 169.08 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ หลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 609 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.28 บาทต่อหุ้น จะคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 24.13 เท่า
ทั้งในการพิจารณาข้อมูลประกอบการประเมินราคาหุ้นที่เสนอขาย บริษัทฯ ได้ทำการเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยพิจารณาจากบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ โดยบริษัทที่นำมาเปรียบเทียบ AU มี P/E ที่ระดับ 30.5 เท่า และMAGURO มี P/E ที่ระดับ 31 เท่า
โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 159.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 26.1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามสัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period มีจำนวน 91,050,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 14.95 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่ปรากฎในหัวข้อ “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” (ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร ที่ไม่ติด silent period และผู้ถือหุ้นเดิมอื่นๆ)
ได้เข้าทำหนังสือข้อตกลงกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เพื่อตกลงจำกัดสิทธิในหุ้นที่เหลือจำนวนรวม 115,050,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 18.9ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้(ซึ่งรวมถึงหุ้นที่จะได้มาจากการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่(Big Lot Board) ระหว่างผู้ถือหุ้น ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ)
โดยตกลงจำกัดสิทธิของตนว่าจะไม่จำนำก่อภาระติดพัน แลกเปลี่ยน ขาย หรือจำหน่ายจ่ายโอนด้วยวิธีการใดซึ่งหุ้นที่ถูกจำกัดการโอนซึ่งตนถืออยู่ให้แก่บุคคลอื่นใดในช่วงระยะเวลา 180 วัน นับตั้งแต่วันที่หุ้นของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันแรก
นอกจากนี้ผู้บริหารของบริษัทฯ (ที่ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ) ที่ได้รับการจัดสรรและจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้ได้เข้าทำหนังสือข้อตกลงกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เพื่อตกลงจำกัดสิทธิของตนว่าจะไม่จำนำก่อภาระติดพัน แลกเปลี่ยน ขาย หรือจำหน่ายจ่ายโอนด้วยวิธีการใดซึ่งหุ้นที่ถูกจำกัดการโอนซึ่งตนถืออยู่ให้แก่บุคคลอื่นใดในช่วงระยะเวลา 180 วัน นับตั้งแต่วันที่หุ้นของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันแรก
ขณะเดียวกันนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1) นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล 2) นายจิรายุทธ ภูวพูนผล และ 3) นายวรเดช สุชัยบุญศิริ (รวมเรียกว่า “ผู้ร่วมก่อตั้ง”) และบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ("Modulus”) (บริษัทย่อยร้อยละ 100.0 ของ OR) ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น
โดย Modulus จะซื้อหุ้นสามัญเดิมจากผู้ร่วมก่อตั้งจำนวนรวม 31,800,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 5.2 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ในราคาเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บนกระดานรายใหญ่ (“Big Lot Board”) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับการซื้อหุ้นดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นของ Modulus ก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกนี้
อนึ่ง การขายหุ้นสามัญเดิมดังกล่าวไม่เป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกนี้ ทั้งนี้ หาก Modulus และ/หรือ OR มีความประสงค์จะขายหุ้นของบริษัทฯ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนที่ Modulus ถืออยู่ (ยกเว้นการขายหุ้นให้แก่บริษัทในเครือของ OR) Modulus จะต้องเสนอขายผู้ร่วมก่อตั้งเพื่อให้สิทธิผู้ร่วมก่อตั้งในการปฏิเสธก่อน (Right of First Refusal)
หากผู้ร่วมก่อตั้งปฏิเสธการซื้อหุ้นของบริษัทฯ ดังกล่าว หรือไม่ตอบกลับภายในระยะเวลาที่กำหนด Modulus จึงสามารถเสนอขายให้กับบุคคลภายนอกได้ในเงื่อนไขและราคาที่ไม่ต่ำกว่าที่เสนอให้กับผู้ร่วมก่อตั้ง
นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ร่วมก่อตั้งต้องการใช้สิทธิซื้อหุ้นของบริษัทที่ Modulus เสนอขายแค่บางส่วน Modulus จะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุด (Best Effort) ในการเจรจากับนักลงทุนที่สนใจซื้อ (Potential Buyer) เพื่อขายหุ้นของบริษัทฯ ในสัดส่วนที่เหลือจากที่ผู้ร่วมก่อตั้งต้องการ อย่างไรก็ตาม หาก Modulus ไม่สามารถเจรจากับนักลงทุนที่สนใจซื้อได้ Modulus มีสิทธิขายหุ้นของบริษัททั้งหมดที่ Modulus ต้องการขายในครั้งแรกให้แก่นักลงทุนที่สนใจซื้อได้