Wealth Sharing

เฟดลดดอกเบี้ย โบรกฯ มองโฟลว์ย้ายออกจากหุ้นสหรัฐฯ ลุ้นไหลเข้าตลาดหุ้นไทยที่ยัง underperform


19 กันยายน 2567

หลังจากนี้ที่นักลงทุนทั่วโลกลุ้นในธนาคารกลางของสหรัฐฯปรับลดนโยบายอัตราดอกเบี้ย ล่าสุดในประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯวานนี้ (18 ก.ย. 67) ก็ได้ตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับที่ 4.75% - 5.00%

เฟดลดดอกเบี้ย_WS (เว็บ) copy_0.jpg

และจากการปรับตัวลงในครั้งนี้ ก็ถือเป็นเริ่มต้นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปี 2568 แต่จะเป็นบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยเช่นไรบ้างนั้น ในวันนี้เราจึงได้หยิบมุมมองจากนักวิเคราะห์มาฝากแก่ผู้อ่านกัน

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่าจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยจากดอกเบี้ยลด, เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย และเงินบาทแข็งค่า ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะส่งผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะไทย ที่ underperform peers ประกอบกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ-ไทยจะแคบลง ส่งผลให้การไหลกลับของเงินลงทุนจากต่างประเทศและเงินบาทจะกลับมาแข็งค่า

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินได้ประโยชน์มากสุดเพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยกู้ยืม, กลุ่มโรงไฟฟ้า มูลค่าเหมาะสมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยลง ในขณะที่บริษัทที่มีหนี้สูง (โดยเฉพาะหนี้ต่างประเทศ) จะได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง

สำหรับหุ้น Top picks ประกอบไปด้วย BGRIM, TIDLOR, BAFS, BCP, HMPRO โดยคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะ outperform โดยพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลักดังนี้ 1.หุ้นใน SET100 เป็นหลัก ที่ราคาหุ้นปรับลงมากจากต้นปี, 2.หุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย (กลุ่มการเงิน, โรงไฟฟ้า, บริษัทที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูง), 3.ผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 67และปี 2568 มีทิศทางที่ดี และมูลค่าหุ้นยังน่าสนใจ และ 4.หุ้นนขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า เฟดเริ่มต้นลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และมีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง อาจกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง รวมถึงมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวสหรัฐชะลอตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ฟันด์โฟลว์มีโอกาสย้ายจากตลาดหุ้นสหรัฐฯกระจายไปลงทุนตลาดหุ้นอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม

พร้อมกันนี้ ประเมินว่าเป้าหมายการลงทุนต่างชาติมีโอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม จากปัจจัยในเชิงเปรียบเทียบหลายๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นโมเมนตัมฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทย จากการลดเบี้ยสหรัฐฯที่จะเร่งลดเร็วกว่าไทยในช่วง 1 – 2 ปีต่อจากนี้ จะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่ค่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในหุ้นไทยมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม

ด้านปัจจัยพื้นฐาน การเติบโตจีดีพีของไทยช่วงครึ่งปีหลังปี 67 มีโอกาสเติบโตเด่น4.1% จึงจะเท่ากับที่กระทรวงการคลังประเมินทั้งปี 2567 เติบโต 3% และเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำช่วงครึ่งปีแรกปี 67 ที่1.9% อีกทั้งยังสูงกว่าสหรัฐฯที่ทาง BLOOMBERG คาดการเติบโตจีดีพีในช่วงครึ่งปีหลังลดลงเหลือ 2.1% และในมุมกำไรบริษัทจดทะเบียน EPS GROWTH ไทย ปี 2567 คาดจะเติบโตได้สูง 13%, สูงกว่า EPS GROWTH สหรัฐ ปี 67 ที่ 8%

สุดท้ายด้านมูลค่าที่ล่าสุดตลาดหุ้นไทยมี P/E ปี 67 อยู่ที่ 15.7เท่า,  P/E ปี68 ที่ 14.5 เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ที่มี P/E ปี 67 อยู่ที่ 23.2 เท่า และ P/E ปี 68 อยู่ที่ 20.3 เท่า รวมถึง P/BV ปี 67 ไทย ต่ำเพียง 1.4 เท่า และต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ที่มี P/BV ปี 67 อยู่ 4.7 เท่า