รายงานพิเศษ : EURO เดินหน้าเปิดสาขา-เพิ่มแบรนด์ ดันผลประกอบการปีนี้โตโดดเด่น
บมจ.ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) ไม่หวั่นผลกระทบหนี้ครัวเรือนฉุดกำลังซื้อ เดินหน้าสร้างรายได้ ขยายสาขาในเซ็นทรัล เอ็มบาสซีและทองหล่อ เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ และเล็งเพิ่มแบรนด์ใหม่ขยายตลาด มั่นใจดันผลงานปีนี้โตต่อเนื่อง
แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะเปิดเผยระดับหนี้ครัวเรือนของไทย ไตรมาส 1/67 อยู่ที่ระดับ 90.8% ของ GDP โดยหนี้ครัวเรือนปรับลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย (ไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 91.4% ของ GDP) ซึ่งเป็นสัดส่วนของสินเชื่อบ้าน 34% สินเชื่อส่วนบุคคล 25% สินเชื่อเช่าซื้อ 11% สินเชื่ออื่นๆ 9% และสินเชื่อบัตรเครดิต 3%
แต่ต้องยอมรับว่าหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ไม่กระทบต่อการใช้จ่ายของบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้บริโภคระดับบน สะท้อนจากตลาดสินค้าลักชัวรีที่ยังมีการขยายสาขาในประเทศไทย หรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญของสินค้าลักชัวรีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งการขยายสาขาและผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่ ทำให้มูลค่าตลาดสินค้าลักชัวรีในเมืองไทยสูงถึง 4,800-4,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่มูลค่าตลาดเคยอยู่ที่ 3,200 ล้านเหรียญในปี 2564 และ 4,200 ล้านเหรียญในปี 2565
สถานการณ์การใช้จ่ายในกลุ่มคนระดับบนที่ยังเติบโตได้ดี สนับสนุนการขยายธุรกิจของบมจ.ยูโร ครีเอชั่นส์ หรือ EURO โดย “เควิน กัมบีร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EURO ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ "Luxurious & High Quality Living" ระบุ แผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดโชว์รูมใหม่ 2 แห่ง ได้แก่
โชว์รูม Frette ที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำโครงสร้างและงานตกแต่ง โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคม 2567 และโชว์รูมที่ทองหล่อซอย 5 ซึ่งงานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และอยู่ในขั้นตอนการตกแต่งภายใน โดยจะเปิดดำเนินการเป็น 2 ช่วง คือในเดือนกันยายน 2567 และมกราคม 2568 พร้อมทั้งมีแผนเพิ่มแบรนด์ใหม่เข้าพอร์ตเพิ่มเติม
"บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด โดยการขยายโชว์รูมและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งสำหรับลูกค้าปัจจุบันและกลุ่มลูกค้าใหม่ นอกจากนี้ ยังเพิ่มสินค้าจากแบรนด์หลากหลาย เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจร (Total Living Solutions) ในทุกขั้นตอนของการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน โรงแรม อาคารสำนักงาน หรือสปอร์ตคลับ" นายเควิน กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากยอดขายและยอดจองที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขาย/ยอดจองค้างส่ง (SO Outstanding) ที่สูงขึ้นเช่นกัน พร้อมทั้งรายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้าที่ได้วางมัดจำเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ โชว์รูมที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนมีนาคม 2567 จะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าในไตรมาส 4/2567
ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทฯมียอดคำสั่งซื้อคงค้าง (Sales Order Outstanding) ประมาณ 1,130 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 12% จากครึ่งปีแรก บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน