เปิดรายได้ "LTMH" เจ้าของ เพจลงทุนแมน ที่กำลังเข้าตลาดหุ้น พบปี 66 มีรายได้ 225 ลบ. และมีกำไร 37 ลบ.

รายงานจากบริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ไปเรียบร้อย เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 50,000,000 หุ้น มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

LTMH เริ่มก่อตั้งเพจ “ลงทุนแมน” ในปี 2560 ก่อนที่จะต่อยอดธุรกิจ จนมีแบรนด์สื่อออนไลน์ระดับ Mega-Influencer (ผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 คน) คือ ลงทุนแมน และ Macro-Influencer (ผู้ติดตามมากกว่า 100,000 คน) รวมทั้งลงทุนเกิร์ล, MarketThink, BrandCase, MONEY LAB และ Mao-Investor ด้วยฐานผู้ติดตามกว่า 8,000,000 คน บนทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ (ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2567)

อีกทั้งยังเป็นผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจรให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด และยังมีแพลตฟอร์มสื่อ Blockdit ที่พัฒนาโดยหน่วยงานเทคโนโลยีของ LTMH ที่มีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน (Monthly Active Users) ประมาณ 2,000,000 คน 

และยังได้เข้าลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น การเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.

ผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2564 – 2566) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 38.29% โดยในปี 2566 มีรายได้ 225.77 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ที่มีรายได้ 173.90 ล้านบาท  และปี 2564 มีรายได้ 118.06 ล้านบาท โดยโดยสัดส่วนรายได้ปี 2566 ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อ ออนไลน์ 92.5%, รายได้จากธุรกิจออฟไลน์ 6.7% และรายได้อื่น ๆ อีก 0.8%

LTMH ได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อเตรียมความพร้อมในการประกอบธุรกิจให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน และ/หรือ การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อขออนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ โดยคาดว่าจะสามารถยื่นคำขออนุญาต ภายในไตรมาสที่ 4/2567

ขณะที่จากการสำรวจข้อมูลผ่านกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า LTMH  มีการรายงานผลประกอบการในปี 2566 โดยมีกำไรสุทธิ 37.58 ล้านบาท และมีรายได้รวม 225.77 ล้านบาท