เรื่องเด่นวันนี้
PCC ลงนามคว้างานกฟน. มูลค่า 603.17 ลบ. ลุยประมูลงานใหม่ มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 10%
25 กันยายน 2567
บมจ.พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น หรือ PCC เผยบริษัท พรีไซซ อีเลคตริค แมนูแฟคเจอริ่ง จํากัด (PEM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหม้อแปลงจําหน่าย กับ กฟน. มูลค่าสัญญารวม 603.17 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ด้านซีอีโอ “กิตติ สัมฤทธิ์” พร้อมลุยเดินหน้าประมูลเข้างานใหม่ มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน
นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ PCC เปิดเผยว่า บริษัท พรีไซซ อีเลคตริค แมนูแฟคเจอริ่ง จํากัด(PEM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหม้อแปลงจําหน่าย ชนิด ซีเอสพี (Completely Self-Protected Type) แรงดัน 24 กิโลโวลต์ 3 เฟส 4 สาย 225 กิโลโวลต์แอมแปร์จํานวน 659 ชุด กับ การไฟฟ้านครหลวง เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2567 มูลค่าสัญญารวม 603,168,202.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ มีกําหนดการส่งมอบผลิตภัณฑ์ภายใน 330 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาซื้อขาย
นายกิตติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีงานที่ร่วมเข้าประมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน จากโอกาสในการเติบโตของธุรกิจจากการพัฒนาเทคโนโลยีระบบสมาร์ทกริดเพื่อรองรับการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมดำเนินธุรกิจ ภายใต้พันธกิจ ในการเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นนวัตกรรมด้านดิจิทัลกริดอัจฉริยะ (Smart Grid Digitalization), ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ทำจำกไผ่ (Bamboo-based Innovative Products), โซลูชั่นดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ (Digitalization and Automation Solutions) โดยร่วมกับกลุ่มนวัตกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่รุ่งเรืองร่วมกันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ด้วยการสร้างความเป็นไปได้และนวัตกรรมใหม่ๆ
นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ PCC เปิดเผยว่า บริษัท พรีไซซ อีเลคตริค แมนูแฟคเจอริ่ง จํากัด(PEM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหม้อแปลงจําหน่าย ชนิด ซีเอสพี (Completely Self-Protected Type) แรงดัน 24 กิโลโวลต์ 3 เฟส 4 สาย 225 กิโลโวลต์แอมแปร์จํานวน 659 ชุด กับ การไฟฟ้านครหลวง เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2567 มูลค่าสัญญารวม 603,168,202.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ มีกําหนดการส่งมอบผลิตภัณฑ์ภายใน 330 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาซื้อขาย
นายกิตติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีงานที่ร่วมเข้าประมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน จากโอกาสในการเติบโตของธุรกิจจากการพัฒนาเทคโนโลยีระบบสมาร์ทกริดเพื่อรองรับการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมดำเนินธุรกิจ ภายใต้พันธกิจ ในการเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นนวัตกรรมด้านดิจิทัลกริดอัจฉริยะ (Smart Grid Digitalization), ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ทำจำกไผ่ (Bamboo-based Innovative Products), โซลูชั่นดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ (Digitalization and Automation Solutions) โดยร่วมกับกลุ่มนวัตกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่รุ่งเรืองร่วมกันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ด้วยการสร้างความเป็นไปได้และนวัตกรรมใหม่ๆ