Wealth Sharing

รัฐบาลกำลังหนุน ให้หุ้นกลุ่มรับเหมามีกำไรโดดเด่น นักวิเคราะห์ชู CK-STEC เป็น Top picks


26 กันยายน 2567

รัฐบาลกำลังหนุน_WS (เว็บ) copy_0.jpg

เมื่อการเมืองมีเสถียรภารมากยิ่งขึ้น ทำให้โครงการใหญ่ของภาครัฐมีแนวโน้มออกมามากยิ่งขึ้น ล่าสุดที่กระทรวงคมนาคมมีแผนเสนอโครงการขนาดใหญ่รวม 3 โครงการเข้า ครม. พิจารณาในช่วงที่เหลือของปีนี้ มูลค่ารวมราว 1.1 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 

1.โครงการมอเตอร์เวย์ หมายเลข M5 (รังสิต – บางปะอิน) มูลค่า 3.14 หมื่นล้านบาท 2. มอเตอร์เวย์หมายเลข M9 (บางขุนเทียน – บางบัวทอง และบางบัวทอง – บางปะอิน) มูลค่า 7.20 หมื่นล้านบาท และ 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วน ต่อขยายช่วง รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ มูลค่า 6.5 พันล้านบาท

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า หลังได้รัฐบาลใหม่ ปลดล็อก Overhang หนุนการลงทุนโครการขนาดใหญ่ของรัฐฯ  และมีโอกาสหนุน Backlog และรายได้ปี 2568 เป็นต้นไป ขณะที่โครงการขนาดใหญ่อื่นๆ คาดจะเห็นการทยอยนำเข้าครม. พิจารณา และเข้าสู่กระบวนการเปิดประมูลมากขึ้นในปี 2568 

โดยรวมแม้งานรัฐฯ ถูกชะลอไปบ้างในปี 2567 แต่เชื่อมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี 2568 และผู้รับเหมาฯ ขนาดใหญ่ไม่ได้โดนกดดันมากนักจากระดับ Backlog ปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูงจากการรับงานเอกชนเข้ามาทดแทน  

ทั้งนี้คงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ และคงน้ำหนักการลงทุนที่ “มากกว่าตลาด” ด้วย Valuation กลุ่ม ปัจจุบันที่ไม่แพงเทียบอดีต และหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ มักเคลื่อนไหวได้ดีหลังรัฐฯมีเสถียรภาพ และเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่คาดจะมีความชัดเจนขึ้นในปี 2568 เป็นต้นไป 

นอกจากนี้กลุ่มรับเหมาฯ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำกัด จากความเสี่ยงเรื่อง Recession ของเศรษฐกิจโลก โดย เลือกผู้รับเหมาฯ ขนาดใหญ่ ทั้ง CK ราคาเป้าหมาย 25 บาท และ STEC ราคาเป้าหมาย 10.60 บาท เป็น Top picks

ส่วนปัจจัยกดดันหลักของกลุ่มที่ต้องติดตามคือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน แม้ล่าสุดจะเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด แต่ระยะยาวยังมองยังเป็น Overhang ต่อกลุ่ม และเชิงพื้นฐานประเมินผลกระทบต่อการปรับขึ้นค่าแรงทุกๆ 10% ที่ปรับขึ้น จะกระทบกำไรกลุ่มราว 20% (ตัวแปรอื่นคงที่) 

อย่างไรก็ตามแรงงานของกลุ่ม เกือบทั้งหมดรับค่าจ้างสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ และกลุ่มรับเหมาฯ มีความสามารถใน การผลักภาระค่าแรงไปยังมูลค่างานโครงการได้บางส่วน ทำให้ผลกระทบตามจริงจะน้อยกว่า 20% อย่างมีนัยสำคัญ