Talk of The Town

สรุปมาตรการจีน อัด “บาซูก้า” กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่


27 กันยายน 2567

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จีนอัดแพ็คเกจ กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่สร้างความเชื่อมั่นได้อย่างชัดเจน เห็นได้จากตลาดหุ้นจีนที่ตอบรับในเชิงบวกทันที แต่จะมีมาตรการอะไรบ้าง ทีมข่าวสรุปมาให้แล้ว

สรุปมาตรการจีน_S2T (เว็บ) copy.jpg

หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจากการแถลงของธนาคารกลางจีน (PBOC) ในวันที่ 24 ก.ย.67 ประกอบด้วย 

1.ประกาศปรับลดอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50% โดยประเมินอัตราส่วน RRR เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จะลดลงเหลือราว 9.5% ซึ่งจะเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านหยวน 

นอกจากนี้ PBOC ยังเผยว่ามีโอกาสปรับลด RRR ลงอีก 0.25-0.50% ในช่วงที่เหลือของปี โดยจะเพิ่มสภาพคล่องเพิ่มเติมอีกราว 0.5-1 ล้านล้านหยวน

2.ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินคืน (Reverse repurchase rate) อายุ 7 วัน ลง 0.20% จาก 1.7% เป็น 1.5% การลดดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่จะได้รับจากธนาคารกลางจะช่วยกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ระยะสั้น-ยาว

3.ประกาศสนับสนุนสภาพคล่องหุ้นอย่างน้อย 0.5 ล้านล้านหยวน (ราว 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์) ผ่านธุรกรรม Swap เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์ กองทุน และบริษัทประกันภัยสามารถใช้ทรัพย์สินในการแลกเปลี่ยนกับสภาพคล่องจาก PBOCเพื่อเข้าซื้อหุ้น 

นอกจากนี้ PBOC ยังได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าอยู่ระหว่างการศึกษาแผนจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพของตลาดหุ้น โดยคาดเห็นรายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/67

4.ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (CSRC) กล่าวถึงมาตรการใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวเพื่อส่งเสริมการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) และเน้นย้ำถึงความพยายามของ CSRC ในการปรับปรุงการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ ประธานคณะกรรมการกากับดูแลด้านการเงินแห่งชาติจีน (National Financial Regulatory Administration) จะเสริมสร้างทุนชั้นที่หนึ่ง (Tier-one capital) ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จำนวน 6 แห่ง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินและเพิ่มเสถียรภาพให้กับระบบธนาคารของประเทศ

5.PBOC จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้ารายบุคคลที่ค้างอยู่ลงเฉลี่ย 0.5% และจะปรับลดอัตราส่วนเงินดาวน์ขั้นต่ำในการซื้อบ้านหลังที่สองจะถูกปรับลดลงจาก 25% เป็น 15% เพื่อลดภาระทางการเงินและกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ 

ทั้งนี้ PBOC ยังไม่เผยรายละเอียดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้ารายบุคคลที่ค้างอยู่ว่าจะเฉพาะเจาะจงไปยังสินเชื่อหลังแรก หรือจะครอบคลุมถึงสินเชื่อหลังที่สองขึ้นไป คาดเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้นในช่วง 4/67 เช่นกัน

ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงได้คัดเลือกหุ้นที่มีความสัมพันธ์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และคาดได้ Sentiment เชิงบวกดังต่อไปนี้ AAV, AOT, ERW, MINT, CBG, ICHI, MALEE, SAPPE, PTTGC, SPRC, SCC, SCGP, STA, STGT, PSL, WICE

ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มองประเด็นดังกล่าวหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาส OUTPERFORM ตลาดหุ้นโลกคล้ายคลึงตลาดหุ้นจีน โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เน้นหุ้นได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว อาทิ 1.กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม และ LOGISTIC : AOT, SJWD, ERW, CENTEL, MINT, III 

2.กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ : HANA, KCE, DELTA  3.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย : AP, LH, SIRI ORI  4.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC, SCGP 

5.กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี : PTT, TOP, PTTGC, PTTEP, IVL 6.กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม : CBG, CRC, BJC, CPALL และ7.กลุ่มยางพารา : NER, STA

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเป็น sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็กเกจจิ้ง, พลังงานต้นน้า, โลจิสติกส์, ยางพารา และส่งออกอาหารไปจีน 

1.กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็คเกจจิ้ง (PTTGC, IVL, IRPC, SCC, SCGP) เนื่องจากอำนาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นเสริมให้มีการอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงขึ้น และเชื่อว่า SCGP จะได้ประโยชน์มากที่สุดเนื่องจากมีรายได้โดยตรงจากส่งออกไปจีน

2.พลังงานต้นน้ำ (PTTEP, BANPU) เนื่องจากอำนาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นจะส่งผลบวกต่อความต้องการใช้พลังงานต้นน้ำ เชื่อว่า PTTEP จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการที่จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก

3.โลจิสติกส์ (RCL, PSL, WICE, LEO, SJWD) เนื่องจากจะส่งผลบวกต่อกิจกรรมการขนส่งดีขึ้น จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดย RCL และ PSL จะได้ประโยชน์มากกว่าจากอัตราค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

4.ยางพารา (STA, TEGH, NER) เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกยางสำคัญของไทย โดยเฉพาะยางแท่ง ซึ่งตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนราว 40-50% ของส่งออกยางแท่งรวม คาด STA จะได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากจีนสูงถึง 50%

และ5.ส่งออกอาหารไปจีน (TKN, COCOCO, PLUS) เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกใหญ่ของผู้ประกอบการหลายราย โดย COCOCO มีสัดส่วนรายได้จากจีนประมาณ 28% ของรายได้รวม ส่วน PLUS มีสัดส่วนมากกว่า 20% ขณะที่ TKN มีสัดส่วนรายได้จากจีนที่ 22-24% ของรายได้รวม โดย Top picks เลือก SCGP, PTTEP, NER, COCOCO

สรุปมาตรการจีน_S2T (เพจ) copy.jpg