‘PCE’ วางงบลงทุน 1,000 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพการผลิตน้ำมันปาล์ม รับโอกาสตลาดในไทยและต่างประเทศขยายตัว
‘บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์’ หรือ PCE เดินหน้าขยายอาณาจักรน้ำมันปาล์มครบวงจร สร้างการเติบโตหลังเข้าเทรด วางงบลงทุน 1,000 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เพิ่มความมั่นคงด้านการจัดหาวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบ พร้อมขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อใช้ในการบริโภค รับโอกาสอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในประเทศและต่างประเทศขยายตัว บุกตลาดส่งออกเพิ่ม เล็งเพิ่มการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันไบโอดีเซล ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนตลาดต่างประเทศเป็น 50% ภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีสัดส่วน 36% ย้ำแม้เงินบาทแข็งค่าไม่กระทบการส่งออกในไตรมาส 4 มั่นใจยังสามารถเติบโตได้ดี คาดทั้งปีผลการดำเนินงานเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พร้อมกับเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรระดับประเทศ ล่าสุดได้วางงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.) ขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อเพิ่มความมั่นคงการจัดหาวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล โดยเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 120 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง จากเดิม 60 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง ใช้งบลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท 2.) ลงทุนซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ในบริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด (NBD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มโอเลอีนในการบริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 600 ตันต่อวัน จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 300 ตันต่อวัน โดยการขยายกำลังการผลิตโรงงานทั้งสองแห่งคาดว่าจะแล้วเสร็จเริ่มเดินเครื่องจักรในต้นปี 2568
ทั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบในประเทศในปี 2567-2569 ที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3%-5% ต่อปี จากความต้องการใช้อย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในอุตสาหกรรมอาหารที่มีแนวโน้มเติบโต 3-4% ต่อปีตามการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมไบโอดีเซล ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้ 5-5.5 ล้านลิตรต่อวัน เติบโตเฉลี่ย 6%-7% ต่อปี จากความต้องการใช้ยานยนต์ดีเซลในภาคขนส่งที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจ E-commerce เป็นต้น
นอกจากนี้ PCE ยังเพิ่มการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ และส่งออกน้ำมันไบโอดีเซล ไปยังประเทศจีนและอินเดีย และมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการทำตลาดต่างประเทศเป็น 50% ภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 36% โดย PCE มีศักยภาพและความพร้อม เพราะนอกจากจะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ยังมีบริการคลังสินค้า ท่าเทียบเรือ และให้บริการขนส่งสินค้าทางรถและทางเรือเอง จึงสามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ครบครันแบบ One Stop Service ซึ่งเป็นจุดเด่นและความได้เปรียบ และพร้อมที่จะก้าวสู่ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในระดับประเทศ
ทั้งนี้ จากสถานการณ์เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันบริษัทฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้า มีเป้าหมายใช้น้ำมันไบโอดีเซลในประเทศเพิ่มขึ้น จึงเรียกเก็บภาษีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธ์ไปจำหน่ายยังประเทศอินเดียและจีนในระดับที่สูง ขณะที่ PCE มีความได้เปรียบทางการค้า เพราะสามารถส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปจำหน่ายที่ประเทศอินเดียได้อย่างเสรี ประกอบกับปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบของทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ส่งออกไปจำหน่ายในตลาดโลกมีไม่มากนัก สวนทางกับความต้องการที่มีปริมาณสูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ทำให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว และเชื่อว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4 /2567 ยังสามารถเติบโตได้ดี
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2567 คาดว่ารายได้จะเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และมั่นใจว่าในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยในงวด 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 12,921.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 211.97 ล้านบาท