"ประทีป-เสี่ยยักษ์-เสี่ยป๋อง" รวย! โกยหุ้น BANPU ก่อนขายไอพีโอ BKV ราคาพุ่ง รับกำไรส่วนต่าง พ่วงปันผลเพียบ!
จากการสำรวจข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น ล่าสุด ณ วันที่ 11 กันยายน 2567 เพื่อจัดสรรเงินปันผลงวดระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2567 โดยอัตราหุ้นละ 0.18 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายในวันที่ 26 กันยายนนี้ ทั้งนี้ พบว่า กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ชื่อดังได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นอย่างคึกคัก ประกอบด้วย
"ประทีป ตั้งมติธรรม" ประธานกรรมการ บริษัทศุภาลัย จำกัด(มหาชน) หรือ SPALI ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ ได้ซื้อหุ้นเพิ่มแตะ 141,475,798 หุ้น คิดเป็น 1.41% จากเดิมที่เคยถือลงทุน 116,585,498 หุ้นคิดเป็น 1.16% หรือซื้อเพิ่ม 24,890,300 หุ้น
ขณะที่ " วิชัย วชิรพงศ์"หรือเสี่ยยักษ์ จำนวน 78,040,600 หุ้น คิดเป็น 0.78% จากเดิมที่ไม่ปรากฎรายชื่อผู้ถือหุ้น และ "วัชระ แก้วสว่าง"หรือเสี่ยป๋อง จำนวน 52,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.52%จากเดิมที่ไม่ปรากฎรายชื่อผู้ถือหุ้น
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 BANPU แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ประกาศเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จํานวน 15,000,000 หุ้น ช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 19 – 21เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น เพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนใน New York Stock Exchange (NYSE) โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “BKV”
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น BANPU ในช่วงเดือนกันยายน ณ วันที่ 24 กันยายน 2567 ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น35.78% จากราคา 5.45 บาท มาอยู่ที่ 7.40 บาท
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่ได้เข้ามาซื้อหุ้นย่อมได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับการจัดสรรเงินปันผลระหว่างกาลที่เป็นเงินสดอีกไม่น้อยเลยทีเดีย ประกอบด้วย
"ประทีป ตั้งมติธรรม" จะได้รับเงินปันผลในครั้งนี้ มูลค่า 25,465,643 บาท
"วิชัย วชิรพงศ์"หรือเสี่ยยักษ์ จะได้รับเงินปันผลในครั้งนี้ มูลค่า 14,047,308บาท
"วัชระ แก้วสว่าง"หรือเสี่ยป๋อง จะได้รับเงินปันผลในครั้งนี้มูลค่า 9,360,000บาท
ส่วนบล.ดาโอ (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำให้ถือหุ้น BANPU และให้ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 4.50 บาท เนื่องจาก BKV ประกาศเสนอขาย IPO เพื่อจดทะเบียนใน NYSE จะเป็นผลดี ซึ่งBANPU แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า BKV Corporation (BKV) (บริษัทย่อยของ BANPU) ได้ประกาศเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 15 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น USD19-USD21 ต่อหุ้น ซึ่งได้รับการอนุมัติให้นำหุ้นสามัญทั้งหมดของ BKV เพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนใน New York Stock Exchange (NYSE) โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ "BKV"
สำหรับการซื้อขายในตลาด NYSE ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (underwriters) มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มในจำนวน 2.25 ล้านหุ้นจาก BKV ภายในระยะเวลา 30 วันนับตั้งแต่วันแรกที่หุ้นสามัญของ BKV เริ่มทําการซื้อขาย ที่ราคาเสนอขาย IPO โดยหักส่วนลดและค่าคอมมิชชั่นของ underwriters แล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน BKV เป็นหนึ่งใน 20 บริษัทผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา (US) และเป็นผู้ผลิตก๊าซฯรายใหญ่ที่สุดในแหล่งก๊าซฯบาร์เน็ต (Barnett Shale) รัฐเท็กซัส โดย BKV รายงานขาดทุนสุทธิ USD98mn ในครึ่งแรกปี 67 เทียบกับกำไร USD61mn ใน ครึ่งแรกปี 66 และมีสินทรัพย์ทั้งหมด USD2.2bn ในครึ่งแรกปี 67 (ที่มา: SET)
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวนี้ซึ่งเราเชื่อว่าการขาย IPO ของ BKV จะช่วยปลดล็อกมูลค่าของบริษัทและเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทซึ่งปัจจุบันถูกกดดันจากราคาขายเฉลี่ยก๊าซฯที่ลดลงจากปีก่อน
ทั้งนี้ เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ที่ 5.0 พันล้านบาท เทียบกับ 5.4 พันล้านบาทในปี 66 โดยคาดปริมาณขายถ่านหินสูงขึ้นช่วยชดเชยราคาขายเฉลี่ยก๊าซฯและถ่านหินที่อ่อนตัว และคงคำแนะนำ "ถือ" ที่ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 4.50 บาท อิงวิธี SOTP