ดีเดย์ 1 ต.ค.นี้ เม็ดเงิน “วายุภักษ์” เข้าตลาดวันแรก หนุนหุ้นไทยไตรมาส 4 ไปต่อ
ติดตามการเริ่มเข้าลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นไทยของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่มีกำหนดจะเริ่มใส่เงินลงทุน ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ในวันที่ 7 ตุลาคม 2567
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด ไตรมาส 4/67 มีนัยสำคัญ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจาย มากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท
และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน Thai ESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วงไตรมาส 4/67 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน Thai ESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2567 – 2568 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2567-2568 สูงมากกว่า 5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AAขึ้นไป การเติบโตปี 2567-2568 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA ใน Thai ESG หุ้น ( KBANK, BBL,HMPRO, INTUCH)
ขณะที่ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีความเห็นว่า ในช่วงไตรมาส 4/67 FUND FLOW ต่างชาติ และเม็ดเงินวายุภักษ์ เป็นส่วนสำคัญช่วยพยุงตลาด
ทั้งนี้นอกจาก FUND FLOW จากต่างประเทศจะมาแล้ว เงินทุนในประเทศก็น่าจะมาผ่านวายุภักษ์ THAILAND ESG FUND กว่า 1.7 แสนล้านบาท ค่อยช่วยพยุงตลาด หุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/67 ให้มีโอกาสผันผวนน้อยลง
โดย เม็ดเงินต่างชาติยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อ อ้างอิงตาม ทิศทางดอกเบี้ยหลายประเทศทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป มีโอกาสเป็นขาลงเร็วและแรงกว่าประเทศไทย (BOND YIELD สหรัฐ-ไทยแคบลง) ซึ่งส่วนต่าง BOND YIELD 10 ปี ไทยกับสหรัฐแคบลง FUND FLOW ต่างชาติมักจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย
ในทางกลับกัน หาก BOND YIELD 10 ปี ไทยถูกสหรัฐทิ้งห่าง (GAP มากขึ้น) FUND FLOW ก็มักจะ ไหลออกเช่นกัน โดยทุกๆ ส่วนต่าง BOND YIELD 10Y(US-TH) แคบลง 5 ถึง 10 BPS. หนุนให้ FUND FLOW ไหลเข้าได้ราว 1 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าส่วนต่าง BOND YIELD 10Y (US-TH) กว้างขึ้น 5 ถึง 10 BPS. กดดัน FUND FLOW ไหลออก 1 หมื่นล้านบาท
อีกทั้งยังมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์อีก 1.5 แสนล้านบาท บวกกับเม็ดเงินจาก THAIESG เงื่อนไขใหม่ 34 กองทุน ราว 1 – 2 หมื่นล้านบาท คอยพยุงตลาดในช่วงไตรมาส 4/67 โดยพอรัฐบาลอนุมัติกองทุน THAIESG ใหม่ ผ่านมาได้ 1 เดือนกว่า ๆ มีเม็ด เงินหนุนเพิ่ม 2.5 พันล้านบาท จนมี AUM ล่าสุด อยู่ที่ 9.4 พันล้านบาท (ณ 20 ก.ย. 67)
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า เม็ดเงินวายุภักษ์วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท จะทยอยเข้ามาในตลาดหุ้นตั้งแต่เดือน ต.ค. 67 คาดว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนต่อ SET Index อยู่ในรอบปรับขึ้น
แต่เนื่องจาก SET Index บวกไป 12% ตั้งแต่ 14 ส.ค.- 27 ก.ย. 67 หนุนหลักมาจากต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิใน NVDR รวม 2.1 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาเฉพาะหุ้นที่ถูกซื้อสุทธิใน NVDR พบว่าเม็ดเงิน 75% ซื้อหุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 เดิม สะท้อนถึงมีการเก็งกำไรล่วงหน้าบ้างแล้ว การเลือกลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์จากนี้ จึงต้อง Selective เพื่อลดความเสี่ยง NVDR ขายทำกำไร
ดังนั้นในทางกลยุทธ์คัดกรองหุ้นที่เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เข้าหนุน มี Upside ในเชิงพื้นฐานมากกว่า 10% และเป็นหุ้น NVDR ซื้อสุทธิแต่กำไรไม่มาก (กำไรน้อยกว่า 5%) จะได้หุ้นน่าสนใจเช่น CPN CK BEM BH และ CPF เป็นต้น
ส่วนหุ้นไม่ควรไล่ราคาเนื่องจากไม่มี Upside ในเชิงพื้นฐานประกอบกับ NVDR ยังกำไรระดับสูง (>5%) เช่น BSRC BLA BAM และ SPALI เป็นต้น