ในเดือนตุลาคมก็ถือเป็นเดือนแรกที่เข้าสู่ไตรมาส 4 ของปี ซึ่งช่วงดังกล่าวนักลงทุนหลายคนก็มักจะหาจังหวะลงทุนในหุ้นหรือบางคนก็มีการปรับพอร์ตลงทุน ดังนั้น วันนี้ทางเราจึงมีแนวทางการลงทุนระยะยาวแบบ DCA มาฝากให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนกันในครั้งนี้
โดยคำแนะนำและมุมมองการลงทุนอยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้คัดเลือก 5 หุ้นที่น่าสนใจและเหมาะสมในการ DCA ประจำเดือน ตุลาคม 2567 ซึ่งประกอบไปด้วย BEM, BJC, KTB, STA และ TIDLOR
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือก 5 หุ้น จะเป็นบริษัทพื้นฐานดี มีสภาพคล่อง จัดพอร์ตผสมผสานระหว่างหุ้นปันผลและหุ้นเติบโต กระจายความเสี่ยงในหลากหลายอุตสาหกรรม กระจายน้ำหนักการลงทุนเท่ากันในแต่ละหุ้น ซึ่งจะให้คำแนะนำทุก 1 เดือน ยกเว้น มีเหตุการณ์สำคัญกระทบต่อพื้นฐานบริษัท เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการออมในหุ้น
5 หุ้นตัวท็อป ที่เหมาะ DCA ประจำเดือน ต.ค.
BEM คาดผลประกอบการไตรมาส 3/67 เติบโตจากช่วงเดียวกัน ตามจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทมีอัพไซด์ที่ยังไม่รวมในประมาณการ ได้แก่โครงการทางด่วน Double Deck คาดเห็นความชัดเจนมากขึ้นในครึ่งปีหลังปี 67 และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่รอรัฐบาลร่างสัญญาลงทุน คาดแล้วเสร็จภายในปีนี้
BJC คาดผลประกอบการไตรมาส 3/67 เติบโตจากช่วงเดียวกัน หลังยอดขายสาขาเดิมเริ่มกลับมาเป็นบวกราว 1- 2%ในเดือน ส.ค. ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PBV เพียง 0.7 เท่า vs ค่าเฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีกที่ราว 2 เท่า ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนในปี 2568 คือการนำ BIGC เข้าจดทะเบียน IPO ช่วยปลดล็อคมูลค่า Asset ในมือ
KTB เป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคาร โดยมีแรงหนุนจากสินเชื่อภาครัฐที่เติบโต และคาดให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4.6% ขณะเดียวกันคุณภาพสินทรัพย์ของ KTB แข็งแกร่งกว่าธนาคารอื่น แต่ PBV ยังต่ำเพียง 0.6 เท่า และในระยะยาวKTB เป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ธุรกิจ Virtual Bank
STA ราคายางปรับตัวขึ้นจนถึงระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์น้ำท่วม ทำให้เกิดแรงกดดันทางด้านซัพพลายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน คาดเป็นแรงหนุนเชิงบวกต่อทิศทางกำไรไตรมาส 3/67 ที่จะขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันสัดส่วนขายยาง EUDR ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนรายได้และอัตรากำไรสุทธิของบริษัท
TIDLOR คาดผลประกอบการไตรมาส 3/67 เติบโตจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกัน ขณะที่ NPL ที่ระดับ 1.9% สิ้นสุดไตรมาส 2/67 แม้เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/67 ที่ 1.6% แต่ยังอยู่ในระดับต่ำและควบคุมได้ รวมทั้ง Coverage Ratio ที่ 227% อยู่ในระดับสูงรองรับการตั้งสำรองได้ดี นอกจากนี้กลุ่มไฟแนนซ์ได้ประโยชน์จากบอนด์ยีลด์ที่อ่อนตัวลง