เข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 นักวิเคราะห์ต่างมองภาพตลาดทุนที่สดใสมากขึ้น โดยตลาดหุ้นไทยดูดีในเชิงเปรียบเทียบหลายมิติ ทำให้มีโอกาสเห็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมได้ในช่วงที่เหลือของปี และอาจต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้า
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 67 กรณี FUND FLOW
ไหลเข้าอาจจะซื้อขายบน MEYG หรือส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในดอกเบี้ยนโยบายกับตลาดหุ้นไทย ที่แคบลงมาในระดับ -0.5SD ถึง -1 SD หรือ MEYG 3.5% - 3.3% ตามกลไกจะหนุนให้ตลาดซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นและหนุนดัชนีเป้าหมายปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 1,450 จุด มาสู่ระดับเกิน 1,500 จุด เป็น 1,523 จุด – 1,576 จุด
ส่วนปี 2568 ประเมิน ESP68F 98.8 บาทต่อหุ้น ภายใต้ดอกเบี้ยนโยบายลด 1 ครั้งที่ 2.25% และอิง MEYG ที่ 3.8% จะได้ดัชนีเป้าหมายที่ 1,633 จุด และถ้ากนง. ทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่ม ก็จะช่วยผลักดันให้ดัชนีเป้าหมายขึ้นเป็น 1,700 จุด
โดยตลาดหุ้นไทยดูดีในเชิงเปรียบเทียบหลายมิติ ทำให้มีโอกาสเห็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมได้ในช่วงที่เหลือของปี และอาจต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้พอ FED เริ่มต้นลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และมีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง อาจกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง รวมถึงมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวสหรัฐชะลอตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ FUND FLOW มีโอกาสย้ายจากตลาดหุ้นสหรัฐฯกระจายไปลงทุนตลาดหุ้นอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม
ประเมินว่าเป้าหมายการลงทุนต่างชาติมีโอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม จากปัจจัยในเชิง
เปรียบเทียบหลายๆ มิติ ดังนี้
FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยจากการลดเบี้ยสหรัฐที่จะเร่งลดเร็วกว่าไทยในช่วง 1 – 2 ปีต่อจากนี้ จะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่ค่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในหุ้นไทยมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
ขณะที่ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากฐานที่ต่ำ โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน GDP GROWTH ไทยช่วงครึ่งหลังปี 67 มีโอกาสเติบโตเด่น 4.1% จึงจะเท่ากับที่กระทรวงการคลังประเมินทั้งปี 2567 เติบโต 3% และเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำช่วงครึ่งแรกปี 67 ที่ 1.9% อีกทั้งยังสูงกว่า GDP GROWTH ในช่วงครึ่งหลังปี 67 สหรัฐฯ ที่ทาง BLOOMBERG คาดเหลือ 2.1%
ส่วนในมุมกำไรบริษัทจดทะเบียนเห็นสัญญาณเล็กๆ ในการทยอยปรับประมาณการกำไรขึ้นในเดือน ก.ย. นี้ โดยจากข้อมูล BLOOMBERG CONSENSUS ประเมิน EPS67F ที่ 91.5 บาท/หุ้น และ EPS68F ที่ 102.7 บาท/หุ้น
ด้าน VALUATION มองผ่าน (MEYG) หรือส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในดอกเบี้ยนโยบายกับตลาดหุ้นไทย ได้ 3.8% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุนในเชิงเปรียบเทียบ เพราะสูงกว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาก และสูงกว่าในกลุ่ม TIP อย่าง ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ และตลาดหุ้นอินโดฯ เป็นต้น
นอกจากยังมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์อีก 1.5 แสนล้านบาท บวกกับเม็ดเงินจาก THAIESG เงื่อนไขใหม่ 34 กองทุน ราว 1 – 2 หมื่นล้านบาท คอยพยุงตลาดในช่วงไตรมาส 4/67 โดยพอรัฐบาลอนุมัติกองทุน THAIESG ใหม่ ผ่านมาได้ 1 เดือนกว่า ๆ มีเม็ดเงินหนุนเพิ่ม 2.5 พันล้านบาท จนมี AUM ล่าสุด อยู่ที่ 9.4 พันล้านบาท (ณ 20 ก.ย. 67)
แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง กำไรปีหน้าเติบโต และมี ESG Ratingสูง โดยหุ้นเด่นประจำเดือนตุลาคม คือ BEM, GPSC, AOT, AP, BJC, PLANB, CBG
ขณะที่นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนไตรมาสที่ 4 ว่าจะสามารถแกว่งทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 3 แม้ Upside จะเริ่มถูกจำกัดจาก Valuation ที่สูงขึ้น แต่คาดว่า Downside ก็จะถูกจำกัดจากสภาพคล่องที่เอ่อล้นจากหลายทิศทางด้วยกัน ประเมินกรอบแนวต้านของ SET Index ที่ระดับ 1480 และ 1520 จุด ส่วนแนวรับประเมินที่ 1400 และ 1370 จุดตามลำดับ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น Stock selection จะยังคงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการลงทุนไตรมาสที่ 4 นี้ แนะนำหุ้นกลุ่ม Domestic cyclicals ที่อิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ อาทิเช่น กลุ่มค้าปลีก อสังหาฯ ไฟแนนซ์ เนื่องจากคาดหวังปัจจัยกระตุ้นทางด้านนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลน่าจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นับรวมกับการเข้าสู่ช่วงเทศกาล และ Upside surprise ที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงถัดไป
ขณะที่กลุ่ม Global cyclicals ที่อิงกับเศรษฐกิจภายนอกนั้น แม้ Valuation ของหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่จะยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากไม่มั่นใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้ามากนัก
นายณัฐชาต กล่าวว่าในส่วนหุ้นเด่นไตรมาส 4 ปี 2567 ได้แก่
- กลุ่มหุ้นที่เตรียมเข้าสู่ High season ของการบริโภคและการท่องเที่ยว เลือก HMPRO, ERW
- กลุ่มหุ้น Domestic ที่มีเงินปันผลสูง และยังคงมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เลือก AP, ICHI
- กลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่ยังคงมีระดับ Dividend yield และ Dividend yield gap สูงกว่าค่าเฉลี่ย เลือก DIF, CPNREIT
- กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป เลือก COM7, SAWAD
และ 5. กลุ่มหุ้นที่จะได้อานิสงส์หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงถัดไป เลือก AEONTS, KTC