จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : เศรษฐกิจอินเดียเติบโตแข็งแกร่งปี67แตะ7% หนุน CMAN เดินหน้าขยายโรงงาน
03 ตุลาคม 2567
เศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งโดยธนาคารโลกได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตไปแตะที่ 7% จากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ส่งผลดีต่อธุรกิจบมจ.เคมีแมน (CMAN) ที่ได้ก่อสร้างโรงงานผลิตปูนไลม์แห่งใหม่ที่เมืองคิมซ่า รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย หนุนผลงานปีนี้เติบโตต่อเนื่อง
ธนาคารโลกได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียปีงบประมาณปัจจุบันเป็น 7% เพิ่มจากระดับ 6.6% ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ซึ่งการปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังรัฐบาลอินเดีย เผยแพร่การขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดีย ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย 67 ขยายตัว 6.7% และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 7.2% ในปีงบประมาณ 2567-2568
ธนาคารโลกประเมินว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยที่ 6.7% ในช่วงสองปีงบประมาณหน้า และคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น และหนุนการฟื้นตัวของการบริโภค
ขณะที่ความท้าทายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจอินเดีย ได้แก่ การสร้างงาน โดยข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า อัตราการว่างงานในเมืองยังคงสูงเฉลี่ยที่ 17%
บลจ.กสิกรไทย ระบุ เศรษฐกิจอินเดียภายใต้การนำของนาย Modi ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 3 ทำให้นโยบาย 5 ปีต่อจากนี้มีความต่อเนื่อง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังคงเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างงาน และการพัฒนาชนบท ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว
ขณะที่บทวิเคราะห์ บลจ.ดาโอ ระบุว่า แนวโน้มระยะกลางของเศรษฐกิจอินเดียยังเป็นบวก คาดเติบโตถึง 7% ในปี 67 จากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง คาดอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP จะลดลงเหลือ 82% และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคาดอยู่ที่ 1-1.6% ของ GDP จนถึงงบประมาณปี 70
เศรษฐกิจอินเดียที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ เป็นปัจจัยหลักสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งการลงทุนของ บมจ.เคมีแมน (CMAN) ซึ่ง “มล.จันทรจุฑา จันทรทัต” ประธานกรรมการ เชื่อแนวโน้มครึ่งปีหลัง บริษัทยังจะสามารถรักษาอัตรากำไรในระดับที่น่าพอใจ บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และชำระคืนเงินกู้ระยะยาวได้ตามกำหนด
ขณะเดียวกัน โครงการลงทุนในต่างประเทศก็ยังคงคืบหน้าตามแผนงาน โดยเมื่อกลางเดือนส.ค. 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้วางศิลาฤกษ์เพื่อเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตปูนไลม์แห่งใหม่ที่เมืองคิมซ่า รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Khimsar Mine Corporation (KMC)
"ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้แข็งแรงมาก แสดงถึงความสำเร็จของบริษัทในการขยายฐานลูกค้า การควบคุมต้นทุนพลังงานและการผลิต และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทใช้กลยุทธ์หลักในการบริหารความเสี่ยง สร้างความแข็งแกร่งผ่านการเป็นพันธมิตรกับลูกค้าและคู่ค้า การจัดการต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และการลดต้นทุนทางการเงิน ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวและการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลงานที่ดีมากในปีนี้" มล.จันทรจุฑา กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% และกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการพิเศษ อยู่ที่ 276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
"ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีปริมาณการขายใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่สัดส่วนการส่งออกมากกว่า ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง เนื่องจากความต้องการปูนไลม์จากอุตสาหกรรมน้ำตาลและเยื่อกระดาษลดลง อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 37.3% เพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากต้นทุนพลังงานและการผลิตลดลง รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนลงทำให้รับรู้รายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น
ส่วนต้นทุนทางการเงินลดลง 18.3% เนื่องจากภาระหนี้สินน้อยลงและอัตราดอกเบี้ยลดลงจากการแปลงเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินบาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 91 ล้านบาท หากไม่นับผลกระทบจากรายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสด กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน" มล.จันทรจุฑา กล่าว
ธนาคารโลกได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียปีงบประมาณปัจจุบันเป็น 7% เพิ่มจากระดับ 6.6% ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ซึ่งการปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังรัฐบาลอินเดีย เผยแพร่การขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดีย ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย 67 ขยายตัว 6.7% และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 7.2% ในปีงบประมาณ 2567-2568
ธนาคารโลกประเมินว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยที่ 6.7% ในช่วงสองปีงบประมาณหน้า และคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น และหนุนการฟื้นตัวของการบริโภค
ขณะที่ความท้าทายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจอินเดีย ได้แก่ การสร้างงาน โดยข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า อัตราการว่างงานในเมืองยังคงสูงเฉลี่ยที่ 17%
บลจ.กสิกรไทย ระบุ เศรษฐกิจอินเดียภายใต้การนำของนาย Modi ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 3 ทำให้นโยบาย 5 ปีต่อจากนี้มีความต่อเนื่อง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังคงเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างงาน และการพัฒนาชนบท ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว
ขณะที่บทวิเคราะห์ บลจ.ดาโอ ระบุว่า แนวโน้มระยะกลางของเศรษฐกิจอินเดียยังเป็นบวก คาดเติบโตถึง 7% ในปี 67 จากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง คาดอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP จะลดลงเหลือ 82% และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคาดอยู่ที่ 1-1.6% ของ GDP จนถึงงบประมาณปี 70
เศรษฐกิจอินเดียที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ เป็นปัจจัยหลักสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งการลงทุนของ บมจ.เคมีแมน (CMAN) ซึ่ง “มล.จันทรจุฑา จันทรทัต” ประธานกรรมการ เชื่อแนวโน้มครึ่งปีหลัง บริษัทยังจะสามารถรักษาอัตรากำไรในระดับที่น่าพอใจ บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และชำระคืนเงินกู้ระยะยาวได้ตามกำหนด
ขณะเดียวกัน โครงการลงทุนในต่างประเทศก็ยังคงคืบหน้าตามแผนงาน โดยเมื่อกลางเดือนส.ค. 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้วางศิลาฤกษ์เพื่อเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตปูนไลม์แห่งใหม่ที่เมืองคิมซ่า รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Khimsar Mine Corporation (KMC)
"ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้แข็งแรงมาก แสดงถึงความสำเร็จของบริษัทในการขยายฐานลูกค้า การควบคุมต้นทุนพลังงานและการผลิต และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทใช้กลยุทธ์หลักในการบริหารความเสี่ยง สร้างความแข็งแกร่งผ่านการเป็นพันธมิตรกับลูกค้าและคู่ค้า การจัดการต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และการลดต้นทุนทางการเงิน ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวและการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลงานที่ดีมากในปีนี้" มล.จันทรจุฑา กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% และกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการพิเศษ อยู่ที่ 276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
"ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีปริมาณการขายใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่สัดส่วนการส่งออกมากกว่า ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง เนื่องจากความต้องการปูนไลม์จากอุตสาหกรรมน้ำตาลและเยื่อกระดาษลดลง อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 37.3% เพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากต้นทุนพลังงานและการผลิตลดลง รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนลงทำให้รับรู้รายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น
ส่วนต้นทุนทางการเงินลดลง 18.3% เนื่องจากภาระหนี้สินน้อยลงและอัตราดอกเบี้ยลดลงจากการแปลงเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินบาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 91 ล้านบาท หากไม่นับผลกระทบจากรายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสด กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน" มล.จันทรจุฑา กล่าว