Wealth Sharing

สงครามตะวันออกกลาง อาจบานปลาย ดันราคาน้ำมันพุ่ง กระทบหุ้นโรงไฟฟ้า-ปิโตรเคมี-ท่องเที่ยว


04 ตุลาคม 2567

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า อิสราเอลหารือสหรัฐฯในการตอบโต้อิหร่าน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐฯกำลังปรึกษาอิสราเอลสำหรับความเป็นไปได้ในการที่อิสราเอลจะโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่าน แต่อย่างไรก็ดีไม่น่าที่จะดำเนินการโจมตีอิหร่านในเร็วๆนี้

สงครามตะวันออกกลาง WS (เว็บ)_0.jpg

ทั้งนี้ จึงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น เนื่องจากมีโอกาสที่สงครามจะบานปลายมากขึ้น อาจรวมถึงประเทศตะวันออกกลางอื่นๆและสหรัฐฯ โดยหากเกิดขึ้นจริงมีความเป็นไปได้ที่จะอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมันโลกและอาจรวมถึงราคาพลังงานต้นน้ำ 

แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าข่าวดังกล่าวจะส่งผลกระทบจำกัดต่อการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจาก Strait of Hormuz เป็นเส้นทางการค้าของประเทศตะวันออกกลางเป็นส่วนใหญ่ จึงมองเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน ราคาพลังงานต้นน้ำอาจจะสูงขึ้น ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน (โดยเฉพาะพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น)

โดย PTTEP จะได้ประโยชน์จากราคาขายน้ำมันเฉลี่ย (liquid ASP) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่โรงกลั่นน่าจะได้แรงหนุนจากกำไรจากสต๊อกที่สูงขึ้นและอาจรวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และราคาน้ำมันดิบที่ดีขึ้น และ BANPU มองว่าจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าทดแทนของน้ำมันดิบบางส่วน 

พร้อมกันนี้ จะเป็นลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า มีโอกาสที่ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น (โดยมี lag time ราว 3-6 เดือนหลังราคาน้ำมันขึ้น) แต่ค่า Ft ไม่สามารถปรับสะท้อนได้จากค่าไฟปัจจุบันอยู่ในระดับสูงและภาครัฐฯต้องการลดภาระประชาชน เป็นเซนติเมนท์เชิงลบต่อโรงไฟฟ้า SPP โดยเรียงลำดับจากหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมากไปน้อยคือ BGRIM , GPSC , GULF 

รวมไปถึงกลุ่มปิโตรเคมี มองว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบ (feedstock) ที่สูงขึ้น ในขณะที่ ราคาขายยังมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มอุปสงค์ที่อ่อนแออยู่ ประกอบไปด้วย PTTGC, IVL และ SCC 

และสุดท้ายกลุ่มท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจาก Middle East มีโอกาสลดลงได้ โดยช่วง 8 เดือนปี 2567  มีสัดส่วนที่ 2.2% ของนักท่องเที่ยวรวม หุ้นที่ได้รับเซนติเมนท์เชิงลบ คือ ERW, CENTEL 

ด้านนักวิเคราะหืบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า  ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 3.61 ดอลลาร์หรือ 5.15% ปิดที่ 73.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก

โดยล่าสุดมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐกำลังหารือกับอิสราเอลเกี่ยวกับการโจมตีคลังน้ำมันของอิหร่าน จึงประเมินเป็นปัจจัยเซนติเมนท์บวกเชิงต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP, BANPU, BCP,BSRC, TOP และ SPRC