กระดานข่าว

finbiz by ttb ย้ำ 4 เหตุผลที่ธุรกิจต้องเร่งใส่ใจปรับปรุงและพัฒนา ตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน


08 ตุลาคม 2567
ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและอุณหภูมิโลกที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ไม่ได้ส่งผลเสียกับธรรมชาติเท่านั้น แต่เริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น การเกิดโรคอุบัติใหม่ หรือการที่ภูมิอากาศแปรปรวนสร้างความอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ความยั่งยืนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้...ทุกธุรกิจจึงต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

finbiz by ttb 4 เหตุผลที่ธุรกิจ ต้องเร่งใส่ใจ ESG_0 (1).jpg
 
finbiz by ttb ขอเสนอแนวคิดและเหตุผลที่ทำไมองค์กรธุรกิจต้องใส่ใจ ESG รวมถึงแนวทางสำหรับในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้  
  • ทุกธุรกิจมีโจทย์ใหญ่ คือ ต้องปรับตัวให้ “อยู่ได้-อยู่ดี” ในยุคโลกเดือด

  • นอกจากดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในขอบเขตการดำเนินงานของบริษัทเองแล้ว ทั้งห่วงโซ่อุปทานจะต้องหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

  • เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่ใช่แค่การจัดการขยะ แต่เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงกระบวนการ จนไปถึงการใช้งาน และการกำจัดเมื่อผลิตภัณฑ์สิ้นอายุ

  • บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องจัดทำรายงานความยั่งยืนเพื่อเปิดเผยข้อมูล ESG

  • การเงินเพื่อความยั่งยืนเติบโตมากขึ้น มีการออกหุ้นกู้ ตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน แนวโน้มนี้ยิ่งมาแรงขึ้นจากการมีกองทุน Thai ESG

  • รูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้เน้นเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเดียว แต่ลงทุนเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติด้วย

  • การใช้เทคโนโลยี เช่น Climate Tech, AI เข้ามาช่วยในการจัดการความยั่งยืน

 
เหตุผลที่ธุรกิจ ต้องเร่งใส่ใจ ESG เพราะธุรกิจจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องเติบโตอย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ People, Planet และ Profit โดยมองเรื่องของการลดผลกระทบเชิงลบ สร้างผลกระทบเชิงบวก ตลอดจนปรับตัวให้อยู่ได้และอยู่ดีในโลกที่เปลี่ยนไป การที่ธุรกิจต้องสนใจ การบริหารจัดการด้านความยั่งยืนองค์กร (ESG Management) มาจากเหตุผลหลัก 4 เรื่อง คือกฎมาชัวร์กลัวเงินหายขายให้จึ้ง–ดึง Talents
 

1) กฎมาชัวร์ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กฎเกณฑ์ มาตรฐาน และกรอบด้าน ESG เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ความเสี่ยงด้าน ESG ไม่ได้มองแค่รักษ์โลกอย่างเดียว แต่สามารถนำไปสู่ความเสี่ยงทางด้านการเงินได้ ดังนั้นจึงควรเริ่มเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตั้งแต่วันนี้ เพื่อจัดทำเป็นนโยบายและพร้อมเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญต้องผนวก ESG เข้าไปในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานด้วย

2) กลัวเงินหาย เพราะสถาบันการเงินและนักลงทุนให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางการเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก อย่างสินเชื่อสีเขียว ตราสารหนี้สีเขียว นอกจากนี้ ESG ยังช่วยประหยัดต้นทุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพด้วย

3) ขายให้จึ้ง จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และกระแสรักษ์โลก การใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม ทำให้ผู้บริโภคตระหนักและต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนของโลก จึงมีความต้องการสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น

4) ดึง Talents มีการวิจัยพบว่าพนักงานที่มีคุณภาพ และคนรุ่นใหม่ต้องการทำงานกับบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และสนใจบริษัทที่มุ่งเน้นการทำ ESG

 
แนวทางสำหรับธุรกิจในการทำ ESG
องค์กรควรให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนด้วย การประเมินแบบ Double Materiality ซึ่งจะมีการพิจารณาผลกระทบด้านความยั่งยืนทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน (Non-Financial) แบบ Inside-Out / Outside-In แม้ว่าจะไม่ได้มีกฎบังคับว่าจะต้องมีการเปิดเผยผลการประเมินแบบ Double Materiality ไว้ในรายงาน แต่การประเมินรูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจับประเด็นในการพิจารณาได้ และเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจในประเด็น ESG ที่เกี่ยวข้องกับบริบทขององค์กร
 
Inside-Out มองผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Impact Materiality) ว่าธุรกิจเราทำอะไรที่กระทบในเชิงบวกและเชิงลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมบ้าง
Outside-in มองผลกระทบต่อธุรกิจ (Financial Materiality) ว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นกระทบกับการเงินของธุรกิจอย่างไร
 

เมื่อมีการประเมินได้ ธุรกิจจะสามารถปรับปรุงพัฒนาธุรกิจตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และหากมีหลายประเด็นที่ต้องจัดการ ก็สามารถพิจารณาลำดับความเข้มข้นในการจัดการดังนี้

1) ทำตามกฎ ทำรายงานตามระเบียบต่าง ๆ และดำเนินธุรกิจตามกฎที่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งธุรกิจควรเก็บข้อมูลก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้สามารถวางแผนในการพัฒนาต่อไป

2) เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เมื่อธุรกิจทำตามกฎระเบียบต่าง ๆ แล้ว ให้พิจารณาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ลงได้ และยังสร้างส่วนต่างระหว่างต้นทุน และรายได้ให้กับธุรกิจ

3) ลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรม เมื่อธุรกิจสามารถดำเนินงานอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ถึงเวลาของนวัตกรรมที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านของผลิตภัณฑ์ และกระบวนการต่าง ๆ ที่ต้องมีการลงทุนเพื่อสร้างผลประกอบการที่ยั่งยืนในระยะยาว และสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น

 
อย่างไรก็ดี การที่ธุรกิจจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างไม่สิ้นสุดเช่นกัน การเป็นองค์กรที่ดำเนินงานตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และสามารถสื่อสารเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยต้องมีนโยบายและการดำเนินการจริงไม่ใช่ทำเพื่อการตลาดตามเทรนด์เท่านั้น