มีคนเจ็บ! TATG ราคาทิ้งดิ่ง ลากทำนิวไฮ 2.44 บาท ก่อนเทเหลือ 1.95 บาท พบหุ้นไม่ติด Silent Period 60 ล้านหุ้น
ทิ้งดิ่งแรง! สำหรับหุ้น IPO น้องใหม่ บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG ผู้นำอุตสาหกรรมแม่พิมพ์โลหะ อุปกรณ์จับยึด และชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ เทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ทำราคาเปิดเทรดอย่างสวยงามที่ระดับ 2.32 บาท เพิ่มขึ้น 85.60% จากราคา IPO ที่ 1.25 บาท
โดยในช่วงเปิดการซื้อขายภาคเช้าของวัน ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 2.44 บาท หรือเพิ่มขึ้นหว่า 95% แต่หลังจากนั้นราคาหุ้นกลับตัว ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จนหลุดระดับ 2 บาท โดยปิดการซื้อขายของภาคเช้าที่ระดับ 1.95 บาท ลดลง 20% จากจุดสูงสุด หรือเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง ราคาหุ้นหายไปสูงถึง 0.49 บาท เมื่อเทียบกับจุดสูงสุด
ขณะที่ข้อมูลในไฟลิ่งพบว่า สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period มีจำนวน 60,424,000 หุ้น คิดเป็น 15.11% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้
ความเห็นนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ของหุ้นที่ทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้ PER เฉลี่ยที่ 7.6 เท่า โดยประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2568 ที่ราว 0.26 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 1.98 บาทต่อหุ้น และคาดหวังอัตราเงินปันผลที่ 5.6% ต่อปี (คำนวณโดยใช้ราคาเหมาะสม)
ทั้งนี้คาดผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 ยังเติบโต โดยมีสาเหตุหลักจาก 1. อยู่ในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูป การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบการผลิตที่สำคัญ และมาตรการส่งเสริมการผลิตรถ EV
2.ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ได้คลี่คลายไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา 3. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยโอกาสฟื้นตัว จากสถานการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลายลง หลังจากการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ส่งผลให้มีความคาดหวังการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
4.ปริมาณรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 5 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ และตลาดรถใหม่
ดังนั้นประมาณการรายได้ปี 2567ราว 3,211.3 ล้านบาท เติบโต 7.0%และปี 2568 ที่ 3,436.1 ล้านบาท เติบโต 7.0% จากปีก่อน พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2567 ที่ระดับ 82.8 ล้านบาท เติบโต 77.5% (เทียบกับฐานต่ำ) และปี 2568 ที่ระดับ 102.9 ล้านบาท เติบโต 24.3% จากปีก่อน