"อัสสเดช" ชี้หุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น เม็ดเงินวายุภักษ์ - TESG ช่วยหนุน เชื่อกำไรบจ.ไตรมาส 3 ดี ช่วยดึงโฟลว์ต่างชาติ
ตลท.คาดภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือ ยังเป็นขาขึ้น รับเเรงสนับสนุนจากเม็ดเงินกองวายุภักษ์และ TESG ที่ยังเข้ามาไม่เต็มที่ ส่วนฟันด์โฟว์ต่างชาติ หากกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/67 ออกมาน่าพอใจ อาจดึงเงินลงทุนต่างขาติได้
นาย อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี จะยังเป็นขาขึ้นได้ จากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ที่นักลงทุนสถาบันหรือผู้บริหารจัดการกองทุนยังไม่ได้ใช้เงินลงทุนทั้งหมดซึ่งจะทยอยเข้ามาในช่วงที่เหลือของปี และเม็ดเงินนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อบริหารภาษี ซึ่งเชื่อว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่กองทุน TESG ในช่วงไตรมาส 4/67
พร้อมกันนี้ หลังจากที่บริษัทจดทะเบียนไทยได้ประกาศตัวเลขกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 และช่วง9เดือนแรกปี 67 หากเป็นที่น่าพอใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ก็คาดว่าจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนหรือฟันด์โฟลว์ไหลมายังตลาดหุ้นไทยและหุ้นรายตัวได้ ส่วนทิศทางของกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงที่เหลือคาดหวังว่าจะปรับตัวขึ้นได้รายไตรมาส สอดคล้องไปกับทิศทางของตัวเลขจีดีพี
ด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือน กันยายน ที่ผ่านมา ได้รับปัจจัยสนับสนุนภายนอกจากคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% เป็น 4.75% – 5.0% ถือเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี เพื่อเป็นการทำให้ความเสี่ยงต่อเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้ออยู่ในจุดสมดุล โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเชิงบวกแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยังไม่เข้าสู่ภาวะ
นอกจากนี้ หากพิจารณาข้อมูลในอดีตพบว่าหาก ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในประเทศ เริ่มเห็นสัญญาณเงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้น ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ตามลำดับ
ในส่วนของภายในประเทศยังมีปัจจัยบวก อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนผ่านการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนกันยายนสูงสุดในรอบ เดือน ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจาก พบว่าหุ้นของบริษัทในกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบเชิงลบต่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ซึ่งตรงกันข้ามกับหุ้นของบริษัทในกลุ่ม และกลุ่มที่มีสัดส่วนนำเข้าเพื่อผลิตสูงที่อาจได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง ขณะที่ ปรับเพิ่มขึ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นในเดือนที่ผ่านมา
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นกันยายน ปิดที่ 1,448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่าเมื่อเทียบกับสิ้นปี ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 62,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 35.8% จากเดือนที่แล้ว ทำให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,481 ล้านบาท