จับตาไตรมาส 3/2567 หุ้นในเครือซีพี ทั้งบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE
โดยจากการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ พบว่า ทั้ง CPALL CPAXT CPF จะรายงานตัวเลขกำไรสุทธิออกมาอย่างโดดเด่น มีเพียง TRUE ที่ยังคงมีผลขาดทุนสุทธิ แต่ผลขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน
สำหรับ CPALL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทิศทางไตรมาส 3/2567 คาดมีกำไรสุทธิ 5,978 ล้านบาท ลดลง 4.2% จากไตรมาสก่อน แต่ยังเติบโต 35.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
หากมองธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) หรือ 7-Eleven ยอดขายสำหรับไตรมาส 3/67 คาดที่ 107,020 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากไตรมาสก่อน แต่เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ +3.45% เผยแผนขยายสาขาได้ตามเป้า โดยไตรมาส 3/67 เปิดสาขาใหม่ประมาณ 200 สาขา
นอกจากนั้นฝ่ายคาดว่า GPM จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว แม้ว่าค่าใช้จ่าย SG&A อาจเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่โตในอัตราที่ช้ากว่ายอดขาย เนื่องจากบริษัทลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 250 ล้านบาท ทั้งนี้ต้นทุนทางการเงินลดลงจากการ rollover หุ้นกู้ล่าสุด คาดว่ากำไรสุทธิเฉพาะธุรกิจ CVS อยู่ที่ 6,909 ล้านบาท เติบโต 2.5% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 98.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท
ส่วน CPAXT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า CPAXT น่าจะรายงานกำไรสุทธิ 1.85 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายพิเศษ รวมถึงผลกระทบจากขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ
หากไม่รวมรายการพิเศษเหล่านี้ คาดว่า CPAXT จะรายงานกำไรหลัก 2.16 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทั้งในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก โดยอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนตามฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม การขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดการณ์สำหรับไตรมาสนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับบาท ซึ่งเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 11% ส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินค้านำเข้า (5% ของรายได้ธุรกิจค้าส่ง)
ในขณะเดียวกัน การควบรวมกิจการน่าจะมีค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง 130 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการควรจะมีจำกัด โดยรวมแล้ว ธุรกิจหลักกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีด้วยการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่แข็งแกร่ง และการขยายตัวของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM)
ทั้งนี้คาดว่า SSSG ที่ปรับปรุงแล้วของแม็คโครจะอยู่ที่ 2% โดยได้รับแรงหนุนจากทุกหมวดหมู่ ขณะที่คาดการณ์ SSSG ที่แข็งแกร่งที่ 3% สำหรับธุรกิจค้าปลีกอย่างโลตัส โดยได้รับแรงหนุนจากทั้งร้านค้าในไทยและมาเลเซีย แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 36 บาท
ส่วน CPF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า งวดไตรมาส 3/67 คาดกำไรสุทธิ 6.9 พันล้านบาท ใกล้เคียงวดก่อน แต่ดีขึ้นจากขาดทุน 1.8 พันล้านบาทในงวดไตรมาส 3/66 โดยหากไม่รวมคาดการณ์กำไรพิเศษสุทธิ 700 ล้านบาท (ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 300 ล้านบาท และกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพ 1 พันล้านบาท) คาดกำไรปกติเท่ากับ 6.2 พันล้านบาท พลิกจากไตรมาส 3/66 ที่มีผลขาดทุนปกติ 3.47 พันล้านบาท และ เติบโต 11% จากไตรมาสก่อน
ปัจจัยสนับสนุนจากราคาเนื้อสัตว์ที่ยังปรับตัวขึ้นทั้งในไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สุกร และในต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาขาย แนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท
สุดท้าย TRUE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การลดต้นทุนจะกลบผลกระทบตามฤดูกาล ค่าใช้จ่าย O&M และการใช้ไฟฟ้าลดลงเนื่องจากการปรับปรุงเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง การสร้างความร่วมมือหลังการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE แล ะ DTAC จะช่วยลดจำนวนพนักงานและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569
ทั้งนี้คาดกำไรหลักของ TRUE ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท พลิกกลับเป็นกำไรจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะรายงานขาดทุนสุทธิ 1.5 พันล้านบาท เนื่องจากคาดว่าจะมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และการบันทึกค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ครั้งใหญ่ (ผลขาดทุนจะลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 19% จากไตรมาสก่อน) แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 11.90 บาท