ในช่วงกลางสัปดาห์ของเดือนตุลาคมนี้ จะเริ่มเข้าสู่ช่วงการประกาศตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งกลุ่มที่จะเริ่มรายงานเป็นกลุ่มแรกก็คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และตามด้วยกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่อีกหลายรายซึ่งรวมไปถึงกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย
ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงอยากจะพานักลงทุนและผู้อ่าน มาดูทิศทางหรือคาดการณ์ผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวกันก่อนที่จะรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมไปถึงการลงทุนในหุ้นของทั้งกลุ่มต่อจากนี้จะยังคงมีความน่าสนใจอยู่หรือไม่ ภายใต้สถานการณ์ช่วงที่เหลือของปีนี้
โดยเริ่มกันที่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ได้คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3/67 จะมีผลขาดทุนสุทธิ 108 ล้านบาท เนื่องจากการขาดทุนจากสินค้าคงเหลือราว 613 ล้านบาท
ขณะที่ผลกําไรจากการดําเนินงานจะอยู่ที่ 505 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกัน 83.3% และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 88.7% เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่อ่อนแอ ตามส่วนต่างเคมีภัณฑ์ที่ชะลอตัว ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างอ่อนแอ (การเบิกจ่ายของรัฐบาลล่าช้าและลดลงตามฤดูกาล) และผลการดําเนินงานด้านบรรจุภัณฑ์อ่อนแอ
ทั้งนี้ แนะนำ NEUTRAL โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 260 บาท เนื่องจากแนวโน้มกําไรไตรมาส 4/67 จะอ่อนแอที่สุดในปี เนื่องจากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหลังจากการเริ่มดําเนินงานของโรงงาน LSP
ถัดมา บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 828 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 44% และลดลงจากช่วงเดียวกัน 37% ถูกกดดันจากปริมาณขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง, อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง,รับรู้ผลขาดทุนจาก Fajar เพิ่มขึ้นหลังเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 55% เป็น 100% และต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น
ดังนั้น จึงได้ปรับคำแนะนำลงเป็น “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือน ส.ค. ได้สะท้อนการเก็งกำไรแรงซื้อของกองทุนวายุภักษ์และการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนไปมากแล้ว แต่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจพิจารณาเข้าเก็งกำไรการฟื้นตัวของผลประกอบการในปี 2568 หากราคาหุ้นลงมาที่แนวรับ 27 บาท
สุดท้าย บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดกำไรไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 175 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกัน 23% และลดลงไตรมาสก่อนหน้า 38% จากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักในประเทศไทยและเวียดนามซึ่งเป็นฐานรายได้หลัก กระทบต่อยอดขายทั้งธุรกิจตกแต่งผิวและธุรกิจสุขภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงอัตรากําไรขั้นต้นที่ลดลงแม้ว่าจะมีโครงการลดต้นทุนต่างๆที่ดําเนินการมาต่อเนื่องเข้ามา
ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้นในระยะสั้นที่อาจถูกกดดันจากผลประกอบการไตรมาส 3/67 ที่ไม่สดใส ในเชิงกลยุทธ์จึงลดน้ำหนักการลงทุนชั่วคราวจาก Outperform เป็น Neutral ราคาเหมาะสม 11 บาท โดยให้หาจังหวะเข้าลงทุนใหม่อีกครั้งหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ในวันที่ 28 ต.ค นี้ บนมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจในระยะยาว ภายใต้แผนธุรกิจเชิงรุกของ SCGD ที่จะผลักดันกําไร 5 ปีข้างหน้าให้เติบโตเฉลี่ย 15%