Talk of The Town
บล.บัวหลวง แนะ “ขาย” TISCO หลังคาดกำไรปี 67-68 ไม่เติบโต เผยชอบ BBL-KBANK-KTB มากที่สุด
16 ตุลาคม 2567
หลังจาก บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมีกำไรในงวดไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 1,713 ล้านบาท ลดลง 8.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มสูงขึ้น
ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดNIM จะลดลงและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) และแต่ถ้าเทียบไตรมาสก่อนหน้า คาดทรงตัว เนื่องจาก สินเชื่อที่เติบโต จะกลบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่ลดลง และอัตราการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เมื่อมองไปยังปี 2568 คาดกาไรสุทธิที่ 6.5 พันล้านบาท ลดลง 4%เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้แม้ว่าเราคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ประมาณ 8% สำหรับทั้งปี 2567 และ 2568 แต่ฝ่ายวิจัยไม่คาดว่ากำไรจะเติบโตได้ในปี 2567-2568 เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นยังคงคาแนะนำ “ขาย” เป้าหมายพื้นฐาน 92.00 บาท โดยกลุ่มธนาคารชอบ BBL, KBANK, และ KTB มากที่สุด
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ "ถือ" เพื่อรับเงินปันผล มูลค่าพื้นฐานที่ 100 บาท โดยคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 7.7% ในปี 2567 (ผลตอบแทนจากผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 67 เหลือ 5.6% หลักหักเงินปันผลระหว่างกาลในครึ่งปีแรก) และคาดที่ 7.3%/7.7% ในปี 2568-69
โดยมองว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโตต่อจากภาวะการลงทุนฟื้นตัวเป็นหลัก และ NIM ทยอยปรับขึ้นหลังจากควบคุมต้นทุนการเงินได้ดี แต่ผลกระทบจาก Coverage ratio ลดลง ทำให้แนวโน้มสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568
ดังนั้น คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/67 จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 2567 ปรับลดลง 5.1% และลดลง 4.7% ในปี 2568 ก่อนจะกลับมาขยายตัวราว 4.9% ในปี 2569
ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดNIM จะลดลงและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) และแต่ถ้าเทียบไตรมาสก่อนหน้า คาดทรงตัว เนื่องจาก สินเชื่อที่เติบโต จะกลบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่ลดลง และอัตราการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เมื่อมองไปยังปี 2568 คาดกาไรสุทธิที่ 6.5 พันล้านบาท ลดลง 4%เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้แม้ว่าเราคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ประมาณ 8% สำหรับทั้งปี 2567 และ 2568 แต่ฝ่ายวิจัยไม่คาดว่ากำไรจะเติบโตได้ในปี 2567-2568 เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นยังคงคาแนะนำ “ขาย” เป้าหมายพื้นฐาน 92.00 บาท โดยกลุ่มธนาคารชอบ BBL, KBANK, และ KTB มากที่สุด
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ "ถือ" เพื่อรับเงินปันผล มูลค่าพื้นฐานที่ 100 บาท โดยคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 7.7% ในปี 2567 (ผลตอบแทนจากผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 67 เหลือ 5.6% หลักหักเงินปันผลระหว่างกาลในครึ่งปีแรก) และคาดที่ 7.3%/7.7% ในปี 2568-69
โดยมองว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโตต่อจากภาวะการลงทุนฟื้นตัวเป็นหลัก และ NIM ทยอยปรับขึ้นหลังจากควบคุมต้นทุนการเงินได้ดี แต่ผลกระทบจาก Coverage ratio ลดลง ทำให้แนวโน้มสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568
ดังนั้น คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/67 จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 2567 ปรับลดลง 5.1% และลดลง 4.7% ในปี 2568 ก่อนจะกลับมาขยายตัวราว 4.9% ในปี 2569