หนึ่งในปัญหาที่สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนจากการลงทุนในตลาดทุนอย่างการผิดนัดชำระหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งตลอดช่วงที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทที่ได้ขอเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป โดยต้นเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากการบริหารจัดการสภาพคล่อง
ฉะนั้น ในวันนี้ทางเราได้ทำการสำรวจและรวบรวมข่าวสารบริษัทจดทะเบียนไทยที่กำลังมีประเด็นของการเลื่อนนัดชำระหุ้นกู้ รวมไปถึงมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทแรกก็คือ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ A ที่สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ขึ้นเครื่องหมาย IC ให้แก่หุ้นกู้ของบริษัทจำนวน 14 รุ่น โดยมีมูลหนี้รวมกัน 5,243 ล้านบาท
หลังบริษัทเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททั้ง 14 รุ่น ของบริษัท ครั้งที่ 2/2567 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เพื่อให้ผู้ถือหุ้นกู้อนุมัติขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้ง 14 รุ่น ออกไปอีก 2 ปี นับจากวันครบกำหนดไถ่ถอนเดิม และพิจารณาอนุมัติให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ในอัตรา 0.25% ต่อปี
ถัดมาอีกหนึ่งบริษัท ก็คือ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME ที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้สร้างความกังวลให้นักลงทุน จากประเด็นเกี่ยวกับการจะบังคับขายหุ้นทอดตลาดของผู้ถือหุ้นบางรายของบริษัทในเดือนธันวาคม 2567 รวมจำนวน 1,348,572,500 หุ้น คิดเป็น 31.70% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท
แต่บริษัทก็ได้ออกมาชี้แจงว่าการขายทอดตลาดของหุ้นดังกล่าว เป็นเรื่องการบริหารจัดการทรัพย์สินและหนี้สินส่วนบุคคลของผู้ถือหุ้นบางราย ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลของผู้ถือหุ้นและไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทพร้อมกับขอให้ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ให้ความเชื่อมั่นและวางใจว่ายังดำเนินธุรกิจได้ตามแผน
ดังนั้น ทางเราจึงอยากจะหยิบยกหุ้นกู้ของบริษัทที่จะครบกำหนดชำระทั้ง 4 ชุด มูลค่า 2,049 ล้านบาท ประกอบไปด้วย PRIME253A II/HNW วันครบกำหนดชำระ 10 มี.ค. 68 จำนวน 1,000 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นกู้บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
PRIME25DA II/HNW วันครบกำหนดชำระ 2 ธ.ค.68 จำนวน 849 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นกู้บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
PRIME25DB II/HNW วันครบกำหนดชำระ 8 ธ.ค.68 จำนวน 121 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นกู้บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด
และ PRIME253B II/HNW วันครบกำหนดชำระ 8 มี.ค. 68 จำนวน 78 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นกู้บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด
สำหรับสถานะทางการเงินของบริษัทนั้น ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมีผลขาดทุนอยู่ที่ 901 ล้านบาท และในงวด 6 เดือนปี 2567 มีผลขาดทุนอยู่ที่ 8 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดีบริษัทยังคงมีกำไรสะสมอยู่ที่ 1,922 ล้านบาท