3 ธีมลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง ขี่กระแสนหุ้นวิ่งกระทิงขวิด ทะลุ 1,700
Mr.Data
ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 16 ต.ค.67 ที่ผ่านมา ถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ หลัง กนง.มีมติ 5:2 ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% มาอยู่ที่ 2.25% หนุน SET Index พุ่งกระฉูด
บล.กรุงศรี ประเมินว่า การลดดอกเบี้ยของ กนง. ทำให้ Equity Risk Premium ตลาดหุ้นไทยกว้างขึ้นถึง 3.62% ใกล้ +1SD 4% จะทำให้ตลาดหุ้นเร่งขึ้นสู่ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 1,540 จุด โดยประเมินทุก ๆ ดอกเบี้ยที่ลดลง 0.25% (25 bps) เป็นอัพไซด์ต่อ SET Index ราว 45-50 จุด
ขณะที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ประเมินว่า จะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งภายในไตรมาส 1/2568 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งไปอยู่ที่ 2% เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงินเพิ่มเติม
โดยภาพเศรษฐกิจและภาวะสินเชื่อชะลอตัวจะยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ความน่ากังวลของสถานการณ์จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า แต่จะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ภาวะการเงินโลกจะเริ่มผ่อนคลายลง
บล.เอเซียพลัส มองว่า การลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง จะช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อ-ขาย พร้อมกับเพิ่มดัชนีเป้าหมาย SET INDEX ปลายปี จาก 1,450 เป็น 1,510 จุด ขณะที่ TARGET SET ปี 2568 อยู่ในช่วง1,633 จุด – 1,700 จุด
โดยบล.เอเซียพลัส มองว่า เป็นการจบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น และเริ่มเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน หาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ดังนี้
1. กลุ่มหุ้นที่มีโอกาสรายได้สูงขึ้น คือ หุ้นโบรกเกอร์ (KGI, MST, FNS), COMM (CPAXT, CPALL, BJC), PROP (AP, SC, SPALI)
2. กลุ่มหุ้นต้นทุนทางการเงินลด ราคา LAGGARD คือ PETRO (IVL, PTTGC), FIN (MTC SAWAD TIDLOR), CONMAT (SCC), CONS (CK STEC)
3. กลุ่มหุ้นปันผลสูง คือ PTT (BK:PTT), TISCO, CPNREIT, DIF, LH
บล.ทรีนีตี้ ประเมิน SET Index มีโมเมนตัมเชิงบวกในระยะสั้นจากการตัดสินใจลดดอกเบี้ยแบบ Surprise ของ กนง. สาเหตุจาก Bond yield ที่มีแนวโน้มลดลงจนส่งผลให้ Earning yield gap (EYG) ของตลาดหุ้นไทยถ่างกว้างมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการคำนวณของเราโดยใช้ระดับ Bond yield 10 ปีของไทยล่าสุดที่2.48% พบว่า ระดับดัชนี SET ที่จะทำให้ค่า EYG กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังจะอยู่ที่ 1,510 จุด มองเป็นระดับดับดับมารถคาดหวังได้ในระยะสิ้น
ประเมินเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม Rate-sensitive ในประเทศอย่างไฟแนนซ์และที่อยู่อาศัย จาก Consumer demand ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงต้นทุบทางการเงินของบริษัทต่างๆ ที่อาจเริ่มปรับลดลงตามไปด้วย
นอกจากนั้น กลุ่ม Bond-liked เช่น IFF/REIT/Utilities ถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้อานิสงส์ จากภาพDividend yield gap ของกลุ่มที่สูงขึ้น
จากการตรวจสอบของเราล่าสุด พบว่าหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ (Market cap> 10bn) ในกลุ่มเหล่านี้ที่ยังคงมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่จะได้แก่ SAWAD, TIDLOR, KTC,JMT, SAK ในกลุ่มไฟแนนซ์, QH ในกลุ่มที่อยู่อาศัย ส่วนหุ้นกลุ่ม IFF/REIT/Utities ที่เราชื่นชอบ ยังคงได้แก่ DIF,CPNREIT, EGCO
ขณะที่บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม Yield Play เช่นโรงไฟฟ้า,ไฟแนนซ์, REIT และอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ GPSC, BGRIM, BCPG,TIDLOR, JMT, SAWAD, CPNREIT, LHHOTEL, 3BBIF, AP, SPALI, และ SIRI
นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินยังทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ซึ่งวจะเป็นบวกต่อกลุ่มส่งออกเช่นกัน เช่น STA, FM, CPF, TU, ICT และ AAI