ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการรายงานผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยรอบนี้ทีมข่าวได้รวบรวบมุมมองการเติบโตในช่วงไตรมาส 4/2567 มาฝากนักลงทุน โดยส่วนใหญ่นักวิเคราะห์มองยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ TISCO ดูเหมืนจะไม่ค่อยดีนัก เพราะยังเจอแรงกดดันตั้งสำรองที่ยังทรงตัวสูง ในช่วงปรับพอร์ตสินเชื่อมาเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนสูงขึ้น
โดย SCB ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของ SCB มีโอกาสจะโตทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เด่นกว่าธนาคารใหญ่รายอื่นที่มีแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายลงทุนพัฒนาระบบให้บริการที่มักเพิ่มเข้ามามากในช่วงปลายปี
เพราะไม่มีผลกระทบจากการขาย PPV (ผู้ให้บริการ Robinhood) เหมือนกับไตรมาส 3/67 (ทั้งในแง่ของผลขาดทุนเงินลงทุน และการตั้งด้อยค่า) อีกทั้งเป็นไตรมาสแรกที่ไม่มีผลขาดทุนจาก PPV เข้ามารบกวน (คาดราว 500 ล้านบาท/ไตรมาส) หลังเสร็จสิ้นการขายหุ้นของ PPV ไปแล้ว
รวมถึงการตั้งสำรองที่มีโอกาสผ่อนคลายลงต่อเนื่อง ตามทิศทางของเศรษฐกิจที่ได้รับแรงกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐฯ ขณะแนวโน้ม NPL Ratio มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ หนุนให้คาด SCB จะมีกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 44,475 ล้านบาท เติบโต 2.2% จากปีก่อน และโตต่อ 3.8% ในปี 2568 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 130 บาท และคาดให้ปันผลจากกำไรครึ่งหลังปี 67 อีกหุ้นละ 7.2 บาท
ต่อด้วย BBL ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่คาดผ่อนคลายลงเล็กน้อย รวมถึงการปรับรูปแบบการบันทึกค่าใช้จ่ายปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานที่รับรู้ไปบางส่วนแล้วในไตรมาส 3/67
แตกต่างจากปีก่อนที่บันทึกค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ใน 4/66 จึงคาด BBL จะมีกำไรสุทธิทั้งปี 2567 ที่ 43,950 ล้านบาท โต 5.6% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 190 บาท และคาดมีปันผลจากกำไรสุทธิครึ่งหลังปีอีกหุ้นละ 4.9-5 บาท
KBANK ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ทิศทางกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของ KBANK จะโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีบันทึกค่าใช้จ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาระบบการให้บริการเพิ่มเข้ามา ซึ่งบางส่วนคาดจะถูกชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายของธุรกิจประกันชีวิตที่ปรับลงจากฐานที่สูงกว่าปกติในไตรมาส 3/67 รวมถึงการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลงหลังเห็นสัญญาณบวกจากตัวเลขการขายหนี้เสียและการ Write-Off หนี้เสียที่ลดลงเรื่อย ๆ
ขณะที่ NPL Ratio ไม่ได้ขยับขึ้นมาก สะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น คงคาด KBANK จะมีกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 47,996 ล้านบาท โต 13.1% จากปีก่อน และโตต่อ 5.1% ในปี 2568 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 175 บาท และคาดจะมีปันผลจ่ายจากกำไรสุทธิครึ่งหลังปี 67 อีกหุ้นละ 5.5 บาท
KTB ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 จะโตเด่นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานต่ำในไตรมาส 4/66 ที่มีการตั้งสำรองเพื่อรองรับผลกระทบจากลูกหนี้รายใหญ่ในกลุ่มรับเหมา แต่ ลดลงจากไตรมาสก่อน จากการบันทึกค่าใช้จ่ายลงทุนด้านระบบเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น และเริ่มรับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ NIM จะลดลง
โดยผลลบดังกล่าวบางส่วนจะถูกหักล้างด้วยการตั้งสำรองคาดจะปรับตัวลงหลัง KTB บริหารจัดการหนี้เสียได้ดี และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่คาดจะปรับตัวดีขึ้น หนุนให้คงคาด KTB จะมีกำไรสุทธิปี 2567 จำนวน 43,791 ล้านบาท โต 19.6% จากปีก่อน และโตต่อ 5% ในปี 2568 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท
TTB ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองที่ลดลงจะถูกกลบด้วยรายได้ภาษีที่ลดลง (สิทธิประโยชน์ด้านภาษีของ TTB) และสินเชื่อที่ลดลง และกำไรมีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะ NIM ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ลง 1% มาอยู่ที่ 2.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน เพราะปรับเพิ่มประมาณการอัตราการตั้งสำรองจาก 1.35% มาอยู่ที่ 1.50% ปัจจัยนี้กลบประมาณการรายได้ภาษีที่ 890 ล้านบาท นอกจากนี้ยังปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ลง 2% เหลือ 2.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน ดังนั้น แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายลดลงมาอยู่ที่ 1.90 บาทจาก 2.10 บาท
TISCO ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดทิศทางกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จะลดลงทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองที่ยังทรงตัวสูง ในช่วงปรับ
พอร์ตสินเชื่อมาเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนสูงขึ้น
รวมถึงมีปัจจัยลบด้านค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานที่ปรับขึ้นในช่วงปลายปี (ค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานและค่าใช้จ่ายลงทุนระบบ ให้บริการ) หนุนให้คาดทั้งปี 2567 TISCO จะมีกำไรสุทธิ 6,868 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน และจะพลิก กลับมาโต 5.2% ในปี 2568 โดยแนะนำ “TRADING” เป้าหมาย 109 บาท และคาดจ่ายปันผลจากกำไรสุทธิงวดครึ่งหลังปี 67 หุ้นละ 5.30 บาท
KKP ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลงจากไตรมาสก่อน จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท ลดลง -12% จากปีก่อน เพราะขาดทุนรถยึดที่จะยังทรงตัวระดับสูงตามสภาวะของตลาดรถยนต์ในปัจจุบันที่มีการแข่งขันด้านราคาสูง ยังคงคำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมายที่ 50.00 บาท
ขณะที่ BAY และ CREDIT ไม่มีการประเมินจากนักวิเคราะห์ถึงแนวโน้มไตรมาส 4/256 แต่ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาด BAY ปี 2567 จะมีกำไร 3.17 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.7% จากปีก่อน เพราะการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ จึงแนะนำ “ทยอยซื้อ”ราคาเป้าหมาย 28 บาท แต่สินเชื่อที่หดตัวและ NPLที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอาจจะทำให้ไม่น่าสนใจลงทุนในระยะสั้น