จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : “ตลาดอาเซียน”โตแกร่ง จุดหมายปลายทาง DTCENT


30 ธันวาคม 2565

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอและการเติบโตของประเทศในภูมิภาคต่างๆ ต่างชะลอตัว ยกเว้นภูมิภาคอาเซียนที่ยังเติบโตได้ดี จึงเป็นจุดหมายปลายทางในการขยายธุรกิจของบริษัทต่างๆ รวมทั้งบริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) ที่เตรียมขยายธุรกิจคาดเห็นความชัดเจนในปี2566

กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ มี GDP รวมกันสูงถึง 2.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับ 7 ของโลกในปัจจุบัน มีอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล อีกทั้งทุกประเทศในอาเซียนยังมุ่งพัฒนาและเร่งสานต่อโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น พลังงานทดแทน การขนส่ง หรือโลจิสติกส์ การสาธารณสุข และเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อาเซียนยังคงแข็งแกร่ง

ถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาเซียนบ้าง ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจแทบทุกประเทศลดลง ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเติบโตของภูมิภาคจะฟื้นตัวขึ้นเป็น 5.2% ในปี 2022

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า  ในช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค. 2565) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 106,320.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 61,474.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 44,845.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์

ตลาดอาเซียนนับได้ว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูง ทำให้ผู้บริหาร บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) และพันธมิตร เตรียมขยายธุรกิจ  ไปในภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย โครงการงานพัฒนาระบบ GPS & Telematics ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในรูปแบบ OEM Tier 1, งานวิจัยพัฒนาสินค้าและบริการให้กับธุรกิจรถ EV และ Solution ด้าน Smart city เป็นต้น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2566 เป็นต้นไป 

แต่สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศก็ยังมีการเติบโตได้ดี โดย บล.เอเอสแอล  ระบุว่า แนวโน้ม 4Q65 ของDTCENT โดดเด่นอย่างมาก  ประเมินกำไรสุทธิ 4Q65 อยู่ที่ 34 ล้านบาท ( 132.7%QoQ, 62%YoY) โดยรายได้จากการขายและให้บริการ GPS Tracking และ MDVR ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้บริการระบบ MDVR ที่บริษัทพัฒนาเป็นระบบใหม่ที่สามารถบันทึกข้อมูลในรูปแบบภาพและเสียงเพิ่มเติมจากรุ่นเก่า ทำให้ต้องใช้พื้นที่ความจำและอินเทอร์เน็ตสำหรับส่งข้อมูลมากขึ้น จึงสามารถเรียกเก็บค่าบริการได้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นพื้นฐาน ขณะที่ไตรมาสนี้จะมีการรับรู้รายได้จากงานโครงการ IoT solution และระบบซอฟต์แวร์เข้ามา หนุนให้รายได้รวมเติบโตกว่า ( 50.8%QoQ, 51.6%YoY)

ด้าน GPM ปรับตัวขึ้นคาดอยู่ที่ระดับ 48.8% เมื่อเทียบกับ 3Q65 ที่ระดับ 47.6% ตามการรับรู้กลุ่มรายได้ที่มาร์จิ้น สูงอย่าง MDVR มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการ IPO บางส่วน ทำให้สัดส่วน cost to income ยังสูงกว่าระดับปกติส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีรายงานกำไรสุทธิ 86.8 ล้านบาท ขยายตัว 12.4%YoY โดยกำไรสุทธิงวด 9M12 อยู่ที่ 52 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของประมาณการของเรา

บริษัทยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งได้แก่ 1. YAZAKI ที่เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานพาหนะ สายไฟ และสายเคเบิ้ล อันดับ 1 ของญี่ปุ่น ซึ่งมีบริษัทในเครือกว่า 140 แห่ง ใน 45 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นโอกาสอันดีของบริษัทที่จะทำการตลาดและขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และ 2. BOON RAWD Supply chain ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบุญรอดบริวเวอรี่ ผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มในไทย ซึ่งบริษัทจะร่วมกันพัฒนา Supply chain solution เพื่อบริหารจัดการต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นทำให้หลายหน่วยงานมีความต้องการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารต้นทุน รวมถึงมีโอกาสเข้าถึงบริษัทในเครือของบุญรอดบริวเวอรี่ เพื่อพัฒนา Solution อื่นๆ ถือเป็น upside ในอนาคต

ส่วนผลประกอบการปี 66 เชื่อว่าจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด  โดยแนวโน้มปี 66-67F ประเมินรายได้เท่ากับ 1,013.2 ล้านบาท ( 42.9%YoY) และ 1,144.7 ล้านบาท ( 13.0%YoY) รายได้จากการขายเติบโตโดดเด่นจากโครงการและงาน IoT ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยยะในปี 2566 ชดเชยกับรายได้จากการขาย GPS Tracking ที่เริ่มอิ่มตัว แต่ยังคงเป็นผู้นำกลุ่มบริษัทที่ให้บริการระบบอุปกรณ์ GPS สำหรับรายได้จากการให้บริการ มองว่าจะเป็นที่ช่วยสร้างความเสถียรแก่ธุรกิจ ขณะที่รายได้จากบริษัทย่อยจะเริ่มมีนัยยะในปี 2566 โดยเฉพาะจาก BAMS ผ่านบริษัทย่อย WS ที่เป็นระบบบริหารจัดการและติดตามกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งตลาดในประเทศมีโอกาสเติบโตสูง ด้านอัตรากำไรขั้นต้นมองว่าจะกลับไปสู่ระดับที่เหนือกว่า 50% ส่วนกำไรสุทธิในปี 66-67F เราคาดการณ์ที่ระดับ 157.2 ล้านบาท ( 81.0%YoY) และ 201.6 ล้านบาท ( 28.3%YoY) ตามลำดับ ด้านอัตรากำไรสุทธิ ปรับตัวขึ้นที่ระดับ 12.2%, 15.5% และ 17.6% ตามลำดับ

นอกจากนี้ DTCENT ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและวิจัยโครงการที่อยู่ใน Mega trend ของประเทศไม่ว่าจะเป็น EV plat form, Smart city solution, ระบบการจัดการน้ำ, Elder Helper, UDEE (อยู่ดี), Logistic Demand-Supply Matching platform และ AI สำหรับ Tracking - IoT solution ซึ่งเรามองเป็น hidden value ของบริษัทที่พร้อมจะ unlock ในอนาคต 

บริษัทแนะนำ “ซื้อ” DTCENT ที่ราคาเป้าหมาย 3.24 บาท อิง PE กลุ่ม SETTECH ที่ 26.5 เท่า Upside ปัจจุบันสูงถึง 54.3%