อีกหนึ่งกลุ่มที่น่าจับตา คือ หุ้นปั๊มน้ำมัน ที่ล่าสุดเตรียมประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 แล้ว ซึ่งจากการสำรวจมุมมองนักวิเคราะห์พบว่า OR ผลงานจะออกมาเป็นพลิกขาดทุนสูงถึง 1,718 ล้านบาท หลังเจอรายการพิเศษ fx loss ราว 1,645 ล้านบาท, ด้อยค่าจากการปิดเท็กซัสชิคเก้น รวมทั้ง stock loss ราว 3 พันล้านบาท
ขณะที่ PTG มีโอกาสรายงานกำไรสุทธิ 120 ล้านบาท เติบโต 519% รับแรงหนุนจากปริมาณขายน้ำมัน ปริมาณขาย LPG และ กาแฟพันธุ์ไทยโตต่อเนื่อง
ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมิน OR ว่า คาดไตรมาส 3/67 ขาดทุนสุทธิ 1,718 ล้านบาท พลิกเป็นขาดทุนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิ โดยหากตัดรายการพิเศษ fx loss ราว 1,645 ล้านบาท, ด้อยค่าจากการปิดเท็กซัสชิคเก้น และอื่นๆ ออก คาดขาดทุนปกติราว -53 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนมีกำไร
โดยการลดลงทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ฉุดจากธุรกิจ Mobility ที่มี stock loss ราว 3 พันล้านบาท มาฉุดกำไรขั้นต้นต่อลิตร กลบปริมาณขายฝั่ง commercial ที่เพิ่มขึ้น 8%จากไตรมาสก่อน และ ธุรกิจ Lifestyle ที่ฟื้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายสาขา และกำลังซื้อฟื้นตัว รวมถึงค่าใช้จ่าย outsource ที่ลดลง (ธุรกิจ Lifestyle ลดลงจากไตรมาสก่อนตามปัจจัยฤดูกาล)
ทั้งนี้หากแนวโน้มไตรมาส 3/67 เป็นไปตามคาด กำไรสุทธิ 9 เดือนปี 67 จะคิดเป็นราว 41% ของประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิจัย โดยประมาณการปีอาจมี downside 40% เหลือราว 6,636 ล้านบาท ลดลง 40% จากปีก่อน หรือ -0.4 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม คาดไตรมาส 4/67 พลิกมีกำไร โดยฟื้นตัวทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ซึ่งหากเทียบ ช่วงเดียวกันของปีก่อน จะฟื้นทั้งธุรกิจ Mobility ที่ไม่มี stock loss ก้อนใหญ่ 2.5 พันล้านบาทมาฉุด กลบปริมาณขายน้ำมันฝั่งสถานีฯ ที่ลดลงจากผลกระทบข่าวเติมน้ำมันไม่เต็มลิตรได้ และ ธุรกิจ Lifestyle ที่ขยายสาขาต่อเนื่องส่งให้ปริมาณขายเติบโต และค่าใช้จ่าย outsource ลดลง
ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ฟื้นเพราะไม่มี stock loss มาฉุด และปริมาณขาย ฝั่งสถานีฯ รวมถึง คาเฟ่อเมซอน ฟื้นตัวหลังออกจาก low season อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างปรับลดประมาณการกำไรจาก stock loss ที่สูงกว่าคาด, การขยายสาขาทั้ง oil และ non-oil ที่ต่ำกว่าคาด
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรไตรมาส 3/67 ของ OR ต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาส โดยมองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้น-กลางจะยังคงถูกจำกัดจากแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/67 ที่ยังอ่อนแอ จึงคงแนะนำ “TRADING” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 16.00 บาทโดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจพิจารณาเข้าเก็งกำไรการฟื้นตัวของผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/67 และปี 2568 ได้หลังการรายงานงบไตรมาส 3/67 ในวันที่ 7 พ.ย.นี้
PTG กำไรไตรมาส 3 พุ่ง 519%
ขณะที่อีกฝั่งอย่าง PTG นักวิเคราะห์ค่ายเดียวกันระบุว่า คาดไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิ 120 ล้านบาท เติบโต 519% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 74% จากไตรมาสก่อน โดยการลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะปัจจัยฤดูกาล และราคาน้ำมันผันผวนกระทบค่าการตลาด
ส่วนการเติบโตสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะได้ปริมาณขายน้ำมันราว 1,580 ล้านลิตร เติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 8%จากไตรมาสก่อน
รวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ต่อเนื่อง เทียบกับการขยายสาขา 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค่าการตลาดคาดราว 1.65 บาท/ลิตร ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 5% จากไตรมาสก่อน แม้มีผลกระทบของราคาน้ำมันที่ผันผวน แต่ปรับราคาได้ดีกว่าปีก่อนที่ยังมีคุมราคาดีเซล
ส่วนปริมาณขาย LPG คาด เติบโต 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน เจาะตลาดรถยนต์ได้ต่อเนื่อง และ กาแฟพันธุ์ไทยโตต่อเนื่อง 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้หากไตรมาส 3/67 เป็นไปตามคาด กำไรสุทธิ 9 เดือนปี 67 ราว 844 ล้านบาท เติบโต 107% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะคิดเป็นราว 72% ของประมาณการปี 2567 จึงคงประมาณการ
ดังนั้น คงคำแนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย 10.5 บาท โดยมอง PTG น่าสนใจบนความสามารถในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของสถานีบริการน้ำมันส่งให้มีโอกาสได้ประโยชน์เด่นกว่าคู่แข่งในสภาวะที่ค่าการตลาดฟื้นสู่ระดับปกติหลังต้นทุนน้ำมันทยอยลดสู่ระดับปกติ, ธุรกิจ LPG และกาแฟ เจาะตลาดได้ต่อเนื่องตามการขยายสาขา ส่งให้กำไรสุทธิปี 2567-68 ฟื้นต่อเนื่อง และเด่นกลุ่มคู่แข่ง โดยคาดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,169 ล้านบาท เติบโตราว 23% จากปีก่อน