ช่วงการประกาศตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ดีในการเข้าทยอยสะสมหุ้นรายตัวที่กำไรเติบโตได้ดี ซึ่งในมุมมองกลับกันก็เป็นจังหวะที่นักลงทุนอาจจะต้องลดสัดส่วนการลงทุนไปจนถึงการขายหุ้นบางตัวออกจากพอร์ตเพื่อปรับพอร์ตลงทุน
ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงได้ทำการสำรวจและรวบรวมมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่ได้ให้คำแนะนำขายหรือปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นรายตัวซึ่งมีด้วยกัน 8 ตัว มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนกันในครั้งนี้
โดยเริ่มที่หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์อย่าง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ซึ่งนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน ได้แนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 50 บาท เนื่องจากแนวโน้มสินเชื่อจะยังหดตัวต่อในไตรมาส 4/67 ไปจนถึงปี68 และไตรมาส 4/67 คาดว่าผลขาดทุนจากการขายรถยึดยังน่าจะยังสูงอยู่จากการเร่งขายก่อนรถเปลี่ยนปี
ถัดมาเป็นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 98 บาท ด้วยราคาในปัจจุบันซื้อขายบน PE ที่ 80-68 เท่า เป็นระดับที่แพงเกินกว่าที่จะลงทุน เทียบกับปัจจัยพื้นฐานในปี 2568 ที่กำไรจะมีการเติบโตอยู่ในระดับ 17%
ต่อมา บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ขาย" ราคาเหมาะสม 39 บาท เนื่องจากค่าการกลั่นที่อ่อนแอและความเสี่ยงของโครงการเชื้อเพลิงสะอาด (CFP) ที่ยังไม่มีกําหนดช่วงเวลาเริ่มต้นที่แน่นอนจากการก่อสร้างล่าช้า ผลการดําเนินงานไตรมาส 3/67 ที่ยังอ่อนแอ และมองว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายบน PE ที่ 7.3 เท่า นั้นไม่ถูก
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 44 บาท เนื่องจาก PE ที่ระดับ 16.1 เท่า คาดการเติบโตเฉลี่ยสะสมของกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2568-2569 ที่ 6% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 2.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มบริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ให้คำแนะนำอย่างมากที่ 0.8 เท่า
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 7.90 บาท เนื่องจากยอดขายและยอดโอนของกลุ่มตลาดล่างที่ชะลอตัวมากกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่การเสียส่วนแบ่งการตลาดตลอดในช่วง 4-5 ปี ทำให้กลับมา turnaround ยาก และยอดปฏิเสธสินเชื่อที่สูงจะกดดันให้กำไรสุทธิต่ำกว่าปกติ
บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด แนะนำ“Underperform” ราคาเหมาะสม 10.50 บาท เนื่องจากในระยะสั้นราคาหุ้นจะถูกกดดันจากกำไรไตรมาส 3/67 ที่ยังอ่อนแอ จากยอดขายที่ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นถูกฉุดจากสินค้าเหล็กที่ตกต่ำลง
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด แนะนำ“Underperform” ราคาเหมาะสม 270 บาท ด้วยผลประกอบการไตรมาส 3/67 ที่ลดลงอย่างมาก หรือกำไรจะอยู่ที่ 861 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกัน 65% กดดันจากทุกธุรกิจหลัก และยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น
เช่นเดียวกันกับ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด แนะนำ“Underperform” ราคาเหมาะสม 36 บาท เนื่องจากสถานการณ์ไตรมาส 3/67 แย่กว่าที่คิด จากเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาขายได้เพราะสภาพเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้กำไรไตรมาส 3/67 ลดลงจากช่วงเดียวกัน 43% มาอยู่ที่ 758 ล้านบาท
ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงได้ทำการสำรวจและรวบรวมมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่ได้ให้คำแนะนำขายหรือปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นรายตัวซึ่งมีด้วยกัน 8 ตัว มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนกันในครั้งนี้
โดยเริ่มที่หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์อย่าง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ซึ่งนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน ได้แนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 50 บาท เนื่องจากแนวโน้มสินเชื่อจะยังหดตัวต่อในไตรมาส 4/67 ไปจนถึงปี68 และไตรมาส 4/67 คาดว่าผลขาดทุนจากการขายรถยึดยังน่าจะยังสูงอยู่จากการเร่งขายก่อนรถเปลี่ยนปี
ถัดมาเป็นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 98 บาท ด้วยราคาในปัจจุบันซื้อขายบน PE ที่ 80-68 เท่า เป็นระดับที่แพงเกินกว่าที่จะลงทุน เทียบกับปัจจัยพื้นฐานในปี 2568 ที่กำไรจะมีการเติบโตอยู่ในระดับ 17%
ต่อมา บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ขาย" ราคาเหมาะสม 39 บาท เนื่องจากค่าการกลั่นที่อ่อนแอและความเสี่ยงของโครงการเชื้อเพลิงสะอาด (CFP) ที่ยังไม่มีกําหนดช่วงเวลาเริ่มต้นที่แน่นอนจากการก่อสร้างล่าช้า ผลการดําเนินงานไตรมาส 3/67 ที่ยังอ่อนแอ และมองว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายบน PE ที่ 7.3 เท่า นั้นไม่ถูก
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 44 บาท เนื่องจาก PE ที่ระดับ 16.1 เท่า คาดการเติบโตเฉลี่ยสะสมของกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2568-2569 ที่ 6% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 2.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มบริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ให้คำแนะนำอย่างมากที่ 0.8 เท่า
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 7.90 บาท เนื่องจากยอดขายและยอดโอนของกลุ่มตลาดล่างที่ชะลอตัวมากกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่การเสียส่วนแบ่งการตลาดตลอดในช่วง 4-5 ปี ทำให้กลับมา turnaround ยาก และยอดปฏิเสธสินเชื่อที่สูงจะกดดันให้กำไรสุทธิต่ำกว่าปกติ
บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด แนะนำ“Underperform” ราคาเหมาะสม 10.50 บาท เนื่องจากในระยะสั้นราคาหุ้นจะถูกกดดันจากกำไรไตรมาส 3/67 ที่ยังอ่อนแอ จากยอดขายที่ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นถูกฉุดจากสินค้าเหล็กที่ตกต่ำลง
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด แนะนำ“Underperform” ราคาเหมาะสม 270 บาท ด้วยผลประกอบการไตรมาส 3/67 ที่ลดลงอย่างมาก หรือกำไรจะอยู่ที่ 861 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกัน 65% กดดันจากทุกธุรกิจหลัก และยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น
เช่นเดียวกันกับ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด แนะนำ“Underperform” ราคาเหมาะสม 36 บาท เนื่องจากสถานการณ์ไตรมาส 3/67 แย่กว่าที่คิด จากเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาขายได้เพราะสภาพเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้กำไรไตรมาส 3/67 ลดลงจากช่วงเดียวกัน 43% มาอยู่ที่ 758 ล้านบาท