หุ้นไอพีโอสุดฮอต! บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ ภายใต้แบรนด์ “เจ้าสัว” และแบรนด์ “โฮลซัม (Wholesome)” หลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเมื่อ 9 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ด้วยราคาเปิดการซื้อขายวันแรกที่ 14.70 บาท เพิ่มขึ้น 24.57 % จากราคาจอง (IPO) ที่ 11.80 บาท
โดยล่าสุดนักวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2567 คาดกาไรปกติ 54 ล้านบาท ลดลง 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 62.8% จากไตรมาสก่อนต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ก่อนหน้าที่คาดกำไรจะกลับมาเติบโตจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย GPM คาดอยู่ที่ 37.2% ลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทเทียบ USD ที่แข็งค่าในช่วงเดือนก.ย. 2567 ที่ผ่านมา รวมถึงต้นทุนหมูที่ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย จากไตรมาสก่อน ส่วน SG&A/Sales คาดลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายจากการ IPO เหมือนในไตรมาส 2/67
อย่างไรก็ตาม คาดรายได้ที่ 452 ล้านบาท เติบโต 31.7%จากไตรมาสก่อน และเติบโต 19.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจาก
1. ยอดขายในประเทศที่กลับมา เติบโต จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจาหน่ายในช่องทาง Traditional Trade (TT) เต็มไตรมาส และการออกสินค้าใหม่ 1 SKU
2. ยอดขายในต่างประเทศที่เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยสาเหตุหลักมาจากยอดคำสั่งซื้อในจีนที่สูงขึ้นจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในร้าน Sam’s club รวมถึงมีการนำสินค้ารสชาติใหม่ๆเข้าไปจำหน่ายมากขึ้น และ 3. การรับรู้รายได้จากออเดอร์ที่ถูกเลื่อน
ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/2567 คาดกำไรปกติจะสามารถกลับมาเติบโตจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำระดับสูงสุดของปีได้ในไตรมาส 4/67 หนุน จากการเข้าสู่ช่วง High season ของธุรกิจที่เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมถึงการออกสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 SKUs
ประกอบกับการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรฐกิจจากภาครัฐฯ ช่วยหนุนกำลังซื้อผู้บริโภคช่วงท้ายปี ขณะที่ GPM คาดจะสามารถฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนได้ เห็นได้จาก ค่าเงินบาทเทียบ USD ที่เริ่มกลับมาอ่อนค่า
อย่างไรก็ตาม กำไรปกติในไตรมาส 3/67 ออกมาตามคาดจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 55.1% ของประมาณการกำไรเดิมทั้งปีของฝ่ายวิจัย ทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567-2568 ลง 17.4% และ 16.0% เป็น 171 ล้านบาท เติบโต 5.5% และ 215 ล้านบาท เติบโต 25.8% จากปีก่อนหน้า ตามลำดับ
โดยจากการปรับสมมติฐาน SG&A/Sales ขึ้นเพื่อให้ สอดคล้องกับผลการดาเนินงานของบริษัทมากขึ้น นอกจากนี้ยังปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 โดยปรับไปใช้ PE จากเดิมที่ 23.3 เท่า เป็น 20.0 เท่า เพื่อเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ส่งผลให้ได้ ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 14.30 บาท แต่เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขาย PER67-68 เพียง 17.8 เท่า และ 14.1 เท่า และยังมี Upside gain 41.6% จึงคงคำ แนะนำ “ซื้อ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า จผลประกอบการไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิ 33.1 ล้านบาท ลดลง 17.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน มีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก (IPO)
อีกทั้งค่าใช้จ่าย ในการขยายตัวแทนกระจายสินค้าผ่านร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade Distributor) ที่ทยอยเปิดครบตามแผน ทั้งหมดแล้วในปลายไตรมาส 2 นี้ โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเริ่มเกิดการประหยัดต่อขนาด (economy of scale) ได้ใน ครึ่งปีหลัง จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในช่องทางร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade)