Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 05-11-24 (มาดูกัน!!ถ้า”ทรัมป์”ชนะ..จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง?)
Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 05-11-24 (มาดูกัน!!ถ้า”ทรัมป์”ชนะ..จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง?)
05-11-24 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยมีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***เหลือเวลาอีกไม่นานที่เราจะได้รู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2024 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 60 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดขึ้นในวันอังคารที่ 5 พ.ย.นี้
***ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ, ค่าเงินดอลลาร์, เงินเฟ้อ (Inflation), นโยบายการเงินของธนาคารกลาง (เฟด), อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed fund rate), อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) รวมทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดหุ้นทั่วโลก
***นโยบายพรรครีพับลิกัน (โดนัลด์ ทรัมป์) เน้น
1) “American First” มาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อดึงการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ โดยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 21% เหลือ 20% และ 15% บริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ
2) ลดการช่วยเหลือชาติพันธมิตรลง โดยเฉพาะยูเครน ไม่สนับสนุนให้มีสงคราม
3) เพิ่มภาษีสินค้าน าเข้าโดยเฉพาะจากจีน
4) สนับสนุนการใช้พลังงานดั้งเดิม (Oil & Gas) เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของสหรัฐฯ
***กูรูออกมาประเมินถึงผลกระทบว่าหาก “ทรัมป์” ชนะ จะเป็นบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯในระยะสั้น จากกำไรบริษัทใน SP500 ที่ดีขึ้น แต่มีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น (เก็บภาษีนำเข้า), ค่าแรงที่สูงขึ้น (ผลักดันผู้อพยพออกจากสหรัฐฯ) และขาดดุลงบประมาณมากขึ้น (เก็บภาษีนิติบุคคลลดลง แม้จะเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนมาชดเชย) ส่งผลกระทบต่อโอกาสที่ธนาคารกลาง (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดเดิม ซึ่งจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชีย จากนโยบายกีดกันการค้าจีน ในขณะที่ราคาพลังงานมีความเสี่ยงที่จะลดลง หากสหรัฐฯสามารถผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้มากขึ้น
***หากเป็นอย่างที่ประเมิน คาดว่าจะเป็นผลบวกต่อหุ้นดังนี้
1) กลุ่มธนาคาร (อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะลดลงช้าเดิม)
2) นิคมอุตสาหกรรม (จีนย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้นจากนโยบายกีดกันการค้า)
3) ชิ้นส่วนอิเลคโทรนิค (มีคำสั่งซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีน และภาษีทำให้สินค้าจีนสูงขึ้น)
4) กลุ่มโรงไฟฟ้า (ราคา LNG มีโอกาสลด ช่วยลดต้นทุนการผลิต )
***ในทางตรงกันข้ามจะส่งผลลบต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้
1) กลุ่มที่พึ่งพาจีนเช่น ท่องเที่ยว, ปิโตรเคมี, บรรจุภัณฑ์,ยางพารา, อาหารและเครื่องดื่ม (เศรษฐกิจจีนชะลอ)
2) กลุ่มพลังงาน (ราคาน้ำมันและก๊าซ มีความเสี่ยงที่จะลดลง หากสหรัฐฯสามารถผลิตได้มากขึ้น แต่มีปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณาประกอบเช่น สงคราม)
3) กลุ่มการเงิน (Non-Bank) (เฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด)
4) กลุ่มส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ (ภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น) เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารและเครื่องดื่ม (แต่อาจได้รับชดเชยจากค่าเงินบาทอ่อน)
***ส่วนนโยบายของพรรคเดโมแครต (กมลา แฮร์ริส) เน้น
1) ขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูงและนิติบุคคลบริษัทขนาดใหญ่ และลดภาษี้ชนชั้นกลาง
2) สนับสนุนยูเครนและนาโตต่อ
3) เปิดโอกาสการเจรจาการค้าเสรีมากขึ้นแต่ยังคงกีดกันการค้ากับจีน
4) สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน (Renewable) เพื่อลดปัญหาโลกร้อน
***หากผลโหวตเอียงมาข้างนี้กลุ่มหุ้นที่จะได้รับบวกดังนี้
1) กลุ่มการเงิน (Non-Bank) (เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด)
2) นิคมอุตสาหกรรม (จีนย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น)
3) ชิ้นส่วนอิเลคโทรนิค (มีคำสั่งซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนและภาษีทำให้สินค้าจีนสูงขึ้น)
4) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน (โอกาสลงทุนในสหรัฐฯเพิ่ม)
***ส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลลบคือ กลุ่มธนาคาร (เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด) และ กลุ่มที่พึ่งพาจีน เช่น ท่องเที่ยว, ปิโตรเคมี, บรรจุภัณฑ์, ยางพารา, อาหารและเครื่องดื่ม (เศรษฐกิจจีนชะลอ) แต่ผลกระทบจะน้อยกว่านโยบายทรัมป์
***ส่วนเรื่องของ MSCI ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ จะประกาศน้ำหนัก รวมถึงผลคัดเลือกหุ้น เข้า/ออก ดัชนีรอบใหม่ (MSCI Rebalance) มีผลบังคับ โดย ใช้ราคาปิด ณ วันที่ 25 พ.ย.นี้ เบื้องต้นกูรูหุ้นคาดว่าจะไม่มีหุ้นไทยได้ปรับ เข้า/ออก จากคำนวณในดัชนีรอบนี้
***อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีหุ้น Big Cap ของไทยในหลายบริษัทมีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุน อาทิ GULF, KTC, TRUE, KTB, CPAXT,AOT, KBANK, CPALL, และ ADVANC เป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นดังกล่าว
***วันนี้จะมีไอพีโอน้องใหม่ชื่อว่า บมจ.อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง หรือ IROYAL เข้ามาเทรดในตลาด MAI โดยมีราคาขายไอพีโออยู่ที่หุ้นละ 6.50 บาท ทั้งนี้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม เพื่อจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะ ที่ใช้ในระบบการผลิตของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม :
***ขอถือวิสาสะ!! สะกิดเตือนผู้ถือหุ้นของ SMK หรือ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย อย่าลืมเด็ดขาด!!! ย้ำว่า อย่าลืม!!! วันนี้คือวันที่ 5 พ.ย. ส่วนพรุ่งนี้ 6 พ.ย. จะป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายของหลักทรัพย์ของ SMK ก่อนการเพิกถอนออกจากตลาดหุ้นในวันที่ 7 พ.ย.67 *** กาดอกจัน***ตัวใหญ่ๆ เอาไว้เลยมีเวลาซื้อขายหุ้นเหลือแค่ 2 วัน...พลาดไปไม่ได้ขาย ก้อไม่รู้จะช่วยยังไงเด้อค่ะ!!!