ในช่วงเดือนตุลคมที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้รับแรงผลักดันจากเม็ดเงินกองทุนเป็นหลัก ขณะที่ในฝั่งของนักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิกว่า 28,166.24 ล้านบาท ทำให้เกิดข้อสงสัยกันว่า นับจากนี้เป็นต้นไป นักลงทุนต่างชาติจะหวนซื้อหุ้นไทยหรือไม่
หากสรุปการซื้อขายแยกตามกลุ่มผู้ลงทุน ประจำเดือน ตุลาคม 2567 พบว่า นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิหุ้นไทย 34,019.39 ล้านบาท ขณะที่ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิหุ้นไทย 442.16 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิหุ้นไทย 28,166.24 ล้านบาท และ นักลงทุนภายในประเทศ ขายสุทธิหุ้นไทย 5,410.99 ล้านบาท
ความเห็นนักวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ในเดือน ต.ค. เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์หนุน สถาบันในประเทศซื้อหุ้นด้วยมูลค่าสูงกว่าปกติ
แต่มาช่วงท้ายๆ เดือน ต.ค. เริ่มเห็นแรงซื้อเบาลง เหลือเพียง 3-4 พันล้านบาทต่อวัน ลดลงจากสูงสุดช่วงต้นๆ เดือนที่ 8-9 พันล้านบาทต่อวัน ซึ่งกลับมาอยู่ในปริมาณการซื้อปกติเฉลี่ยในเดือน ม.ค. - ก.ย. ที่ 4.3 พันล้านบาท
และยังเห็นการซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันฯ ต่อวันลดลง ปัจจุบันเป็นการสลับมาขายสุทธิ จากเคยซื้อสุทธิต่อวัน 3 – 4 พันล้านบาท ขณะเดียวกันต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องเกือบทุกวันในเดือน ต.ค.
ส่วนช่วงที่เหลือของปี FUND FLOW มีโอกาสถูกกดดันต่อ จากประเด็นการเมืองทั้งในและต่างประเทศ เป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่คอยติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงที่เหลือของปี เพราะในอดีตเคยกดดันทิศทาง FUND FLOW ไหลออกตลาดหุ้นไทยรุนแรงหลายครั้ง
อาทิ เวลาการเมืองไทยร้อนแรง อย่างช่วงเดือนพ.ค. - มิ.ย. 67 เกิดนิติสงครามทางการเมือง 4 คดีความ กดดัน
รัฐบาล พร้อมกับ FUND FLOW ไหลออกตลาดหุ้นไทย 27 วันทำการติดต่อกัน กว่า -5.1 หมื่นล้านบาท หรืออย่างช่วง ต.ค. -พ.ย. 61 มีประเด็นสงครามการค้าจีน – สหรัฐ กดดัน FUND FLOW ไหลออกตลาดหุ้นไทย 22 วันทำการติดต่อกัน กว่า -6.6 หมื่นล้านบาท ทั้ง 2 เหตุการณ์ เคยส่งผลให้ FUND FLOW ไหลออกติดต่อกันยาวนานเป็นอันดับที่ 1 และ 7 ตั้งแต่ตลาดฯ เก็บข้อมูลมาตลอด 32 ปี
หากโฟกัสที่การเลือกตั้ง สหรัฐ ล่าสุดเริ่มเห็นโอกาสที่ ทรัมป์ จะเป็นปธน. สหรัฐ คนใหม่ ตามคะแนนความนิยมที่เร่งขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย
และหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจริง ตามผลโพล และ BOND YIELD 10 ปี สหรัฐ ที่วิ่งขึ้นนำ BOND YIELD 10 ปี ไทย ไปถึง 1.86% (ส่วนต่างดังกล่าวเร่งเพิ่มขึ้นมาเร็ว 78 BPS. ในช่วง 1 เดือนกว่าๆ เท่านั้น) สภาวะดังกล่าว จะกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า และมีโอกาสขยับขึ้นไปที่ 36 – 37 บาท/เหรียญ ได้ พร้อมกับกดดันให้ FUND FLOW อาจชะลอการไหลเข้าหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี
เพราะนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม และยังมีนโยบายของพรรค REPUBLICAN ที่จะลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 21% เหลือ 15% ส่งผลให้ EPS สหรัฐมีโอกาสปรับขึ้น คอยกดดันให้ FUND FLOW บางส่วนเลือกไหลกลับไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้
สรุป FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยน้อยลงในช่วงที่เหลือของปี หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เนื่องจากค่าเงินบาทมีโอกาสชะลอการแข็งค่า และ EPS ตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการ ส่งผลให้ FUND FLOW ไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐน้อยลง
ในทางกลับกันหาก HARRIS ชนะ ค่าเงินบาท มีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่า รวมถึง FUND FLOW มีโอกาสไหล กลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยเช่นกัน