เกิดอะไรขึ้น? 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย ฟอร์มแย่! มาร์เก็ตแคปหายแสนล้านบาท
เกาะติดสถานการณ์ผลประกอบของบริษัทจดทะเบียน แต่ที่น่าสนใจบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจพลังงานผลงานไตรมาส 3/2567 เจอปัจจัยกดดันหนัก ทำให้กำไรออกมาไปดีเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรจะปรับตัวลดลง ขณะที่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC รายงานกำไร 721 ล้านบาท ลดลง 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ราคาหุ้น PTT ข้อมูลสิ้นสุดวันที่ 4 พ.ย.2567 ปิดการซื้อขายที่ระดับ 33.50 บาท ปรับตัวลดลง 6.29% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ส่วนราคาหุ้น SCC ปิดการซื้อขายในวันเดียวกันที่ระดับ 210 บาท ลดลงกว่า 31.37% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน
โดยข้อมูล มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด PTT ในวันดังกล่าว อยู่ที่ระดับ 956,860.37 ล้านบาท ลดลงกว่า 64,266.75 ล้านบาท จากสิ้นปี 2566 ขณะที่ SCC อาการน่าห่วงเพราะล่าสุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด อยู่ที่ 252,000 ล้านบาท ลดลง 115,200 ล้านบาท จากสิ้นปี 2566
ขณะที่ทิศทางผลประกอบการ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรสุทธิของ PTT ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 1.54 หมื่นล้านบาท ลดลง 51%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 57% จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก จะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันก้อนใหญ่จาก PTTGC, TOP, IRPC และ PTT
อีกทั้งจะมีผลขาดทุนจากการด้อยค่า 9 พันล้านบาทจาก Vencorex ซึ่ง PTTGC ถือหุ้น 100% และ กำไรจาก PTTEP ลดลงจากการที่ ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 8% จากไตรมาสก่อน เหลือ 78 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 3/67
ทั้งนี้ในส่วนของงบเดี่ยว PTT คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน เพราะคาดว่าค่าใช้จ่ายพิเศษจากการใช้โครงสร้างราคา Single Pool Gas Price ชั่วคราวใหม่จะลดลง 50%จากไตรมาสก่อน เหลือ 3.2 พันล้านบาท (หลังหักภาษี) เพราะบริษัท บันทึกผลกระทบของสองไตรมาสในไตรมาส 2/67 ซึ่งจะทำให้กำไรจากหน่วยธุรกิจโรงแยกก๊าซ (GSP) ดีขึ้น แม้จะคาดว่าปริมาณยอดขายของ GSP จะลดลง 2% จากไตรมาสก่อน เหลือ 1.75 ล้านตัน
นอกจากนี้ ยังคาดว่า กำไรจากหน่วยธุรกิจ Supply Margins (S&M) และ Transmission Pipeline (TM) จะลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก ราคาขายก๊าซธรรมชาติ (NG) เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6%จากไตรมาสก่อน เป็น 8.3 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู ตามราคา LPG ที่สูงขึ้น ในขณะ ที่คาดว่าปริมาณยอดขาย NG จะลดลง 11% จากไตรมาสก่อน เหลือ 4,285 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพราะช่วง peak ของอุปสงค์ในหน้าร้อนจบลงไปแล้ว
ดังนั้นปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 ลง 2% เหลือ 9.23หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.12 แสนล้านบาท และปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 5% เหลือ 9.54 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ปรับลดประมาณการกำไรของ PTTGC, TOP, IRPC, OR และ GPSC ลงตามบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม
แต่ อย่างไรก็ตามปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากหน่วยธุรกิจก๊าซเนื่องจาก ผลขาดทุนจาก NGV ลดลง และราคา NG เฉลี่ยลดลง โดยปรับลดสมมติฐานผลขาดทุนจาก NGV ในปีนี้ลง 63% เหลือ 1.5 พันล้านบาท และปีหน้าลง 75% เหลือ 1 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนถึงผลขาดทุนจาก NGV ที่ 526 ล้านบาทในครึ่งปีแรก 67 ซึ่งลดลงถึง 87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ยังปรับลดสมมติฐานราคา NG ปีนี้ลง 2% เหลือ 8.1 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู แต่คงสมมติฐานปีหน้าเอาไว้เท่าเดิมที่ 6.8 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู
โดยขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ซึ่งยังคงอยู่เท่าเดิมที่ 35 บาท เพราะมูลค่าที่ลดลงของบริษัทลูกในตลาดทั้งห้าแห่งของ PTT หักล้างไปกับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของหน่วยธุรกิจก๊าซของ PTT ถึงแม้จะ คาดว่าผลประกอบการจะแย่ลงมากในไตรมาส 3/67 แต่ยังคงคำแนะนำ “ถือ” เพราะคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจากราคาหุ้นในปัจจุบันยังน่าสนใจที่ 6.0% สำหรับปี 2567-2569
ด้าน SCC ไตรมาสที่ 3/2567 มีกำไรสุทธิ 721 ล้านบาท ลดลง 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ และได้รับผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง
ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ปรับลดคำแนะนำ SCC เป็น “ขาย” จาก ซื้อ เนื่องจาก 1.แนวโน้มปิโตรเคมีแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ ด้วยอยู่ในช่วงขาลงยืดเยื้อ และมีอุปทานที่มากขึ้นจากจีน 2.อุปทานจากจีนมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ทำให้ Long Son Petrochemical Complex (LSP) มีความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งหมายถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต่ำลง
3.วัฏจักรขาลงที่ยืดเยื้อส่งผลให้ LSP ต้องหยุดดำเนินการหลังจากที่เริ่มเปิดเชิงพาณิชย์ได้เพียงหนึ่งเดือนในเดือนกันยายน 2567 และด้วยคาดการณ์สเปรดโดยรวมที่อ่อนแอลง ดังนั้นจึงปรับลดประมาณการกำไรของ SCC อย่างมากสำหรับปี 2567-69 ถึง 43%/39%/40% ตามลำดับ และปรับราคาเป้าหมาย (ปีฐาน 2568) เป็น 175 บาท (จากเดิม 275 บาท)
4.ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและกระดาษบรรจุภัณฑ์ยังคงซบเซา และ 5. มองว่า SCC แพง ที่ P/E ที่ 17 เท่า ในปี 2568 โดยคาดปี 2567 รายงานกำไรสุทธิ 8,243 ล้านบาท ลดลง 68.19% จากปีก่อน
สำหรับความท้าทายที่สำคัญที่สุดในมุมมองของฝ่ายวิจัยสำหรับ LSP คือความสามารถในการแข่งขันหลังจากที่จีนกลายเป็นผู้ผลิตที่มีความสามารในการแข่งขันมากขึ้น SCC ได้ตัดสินใจลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ (14% ของค่าใช้จ่ายลงทุนเริ่มต้นของโครงการ) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงการในการใช้วัตถุดิบอีเทนมากขึ้น อีเทนมีราคาถูกกว่าแนฟทา SCC คาดว่าโครงการปรับปรุงจะแล้วเสร็จในปี 2570
ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการชะลอตัวของวัฏจักรที่ยืดเยื้อยาวนานเนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ เทียบกับอุปทานขนาดใหญ่ในประเทศจีน สเปรดที่ต่ำเกินไปทำให้ LSP หยุดการดำเนินการอย่างน้อยหกเดือน
ส่วนธุรกิจอื่นไม่ได้ช่วยมากนัก ทั้งธุรกิจวัสดุก่อสร้างปูนซีเมนต์ (CBM) และธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ต่างก็เห็นความต้องการที่อ่อนแอเช่นกัน แม้ว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการซีเมนต์ในไตรมาส 3/67 เพิ่มขึ้นเพียง 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยถูกขัดขวางจากน้ำท่วมและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ
ในขณะเดียวกันความต้องการกระดาษบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด โดยปริมาณการขายลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน นับตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เนื่องจากการส่งออกไปยังจีนลดลง
ดังนั้นด้วยสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรมที่ท้าทาย ปัจจุบัน SCC จึงมุ่งเน้นไปที่การลดต้นทุนและบริหารงบดุลมากขึ้น บริษัทฯ คาดว่าจะขายสินทรัพย์บางส่วนและปิดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร โดยคาดว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนได้ 5 พันล้านบาท ในปี 2568
โดยฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมปัจจัยนี้ในการคาดการณ์ ในขณะที่รอความชัดเจนที่ดีขึ้นในแผน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ลดเป้าค่าใช้จ่ายลงทุนลง 4 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งฝ่ายวิจัยได้รวมในประมาณการแล้ว