Wealth Sharing

ตลท.เชื่อ Fund Flow ไหลกลับหุ้นไทย หากผลเลือกตั้งสหรัฐฯชัดเจน ชี้วอลุ่มเทรดจะทรงตัว 5-6 หมื่นลบ.


06 พฤศจิกายน 2567

ตลท. มองเลือกต้ังสหรัฐฯ ทำฟันด์โฟลว์ต่างชาติชะลอลงทุนตลาดหุ้นไทย ฉุดวอลุ่มเทรดต่อวันลดลง คาดผลเลือกตั้งชัดเจนมีโอกาสฟันด์โฟลว์ไหลกลับ พร้อมดึงวลุ่มเทรดกลับไปทรงตัวที่ 5-6 หมื่นล้านบาท

ตลท.เชื่อ Fund Flow_WS (เว็บ) copy_0.jpg

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์เลือกตั้งสหรัฐฯถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ต่างชาติชะลอลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งคาดว่าหลังจากที่ปัจจัยดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายลงหรือผลการเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น ฟันด์โฟลว์ก็มีโอกาสจะไหลกลับเข้ามาภายใน 1 เดือน แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีก็อาจจะไม่เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ เพราะในเดือนธันวาคมที่เป็นเดือนสุดท้ายของปีก็มีปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง

สำหรับปริมาณการซื้อขายต่อวันประเมินว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อวันได้ แม้ว่าในช่วงต้นเดือนพ.ย.ปริมาณการซื้อขายจะลดลงมาเหลือ 2-3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งก็มาจากปัจจัยภายนอก เพราะหากดูปัจจัยภายในประเทศยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่างตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีตามคาด หลังจากที่ภาคการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ดีและทิศทางยังสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่อง รวมไปถึงการย้ายฐานผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติ จะเป็นตัวสนับสนุนการเติบโตของภาคการบริโภคได้ด้วยเช่นกัน

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทย ในเดือนตลาคมที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกหลายๆด้าน อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนผ่านการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนตุลาคมสูงสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 นอกจากนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี อย่างไรก็ดี SET Index ที่ปรับเพิ่มขึ้น 2 เดือนต่อเนื่อง ขณะที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้างหน้าถูกนักวิเคราะห์ปรับลดลง ทำให้ Valuation ในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างตึงตัว

สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนตุลาคม 2567 ณ สิ้นเดือนตุลาคม SET Index ปิดที่ 1,466.04 จุด เพิ่มขึ้น 1.2% จากสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566  มีเพียงกลุ่มเดียว ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 54,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,332 ล้านบาท ลดลง 14.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) บมจ. เมดีซ กรุ๊ป (MEDEZE) บมจ. ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล (TMAN) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG)

ด้าน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 16.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.7 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 3.23% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.10%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนตุลาคม 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 509,144 สัญญา ลดลง 28.0% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 478,270 สัญญา ลดลง 12.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures