ชำแหละ! งบ BEC เจ้าของช่อง 3 หลังมีข่าวลือ “เลย์ออฟ” พนักงาน อ้างเหตุเพราะพิษเศรษฐกิจ
จากกระแสข่าวช่อง 3 ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ประกาศปรับลดพนักงานครั้งใหญ่ และมีผลทันทีต้นปี 2568 หลังประสบปัญหาอุตสาหกรรมสื่อ การลดลงของรายได้ การผลิตรายการ ละคร และคอนเทนต์ต่างๆ มีการแข่งขันสูง จนทำให้รายได้ที่เคยได้ไม่ตรงตามเป้า
หากเข้าไปสำรวจผลประกอบการ พบว่า กำไรสุทธิปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2565 มีกำไรสุทธิ 607 ล้านบาท ลดลง 20% จากปี 2564 หลังจากนั้นปี 2566 รายงานกำไรสุทธิเหลือเพียง 210 ล้านบาท ลดลง 65% จากปีก่อน
ล่าสุดงวด 6 เดือนปี 2567 มีกำไรสุทธิ 85 ล้านบาท ฟื้นตัวเล็กน้อย 8.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิ 71.4 ล้านบาท ลดลง 4.6% จากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยกลุ่ม BEC มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น ในงบแสดงฐานะการเงินรวม สิ้นไตรมาสที่ 2/2567 อยู่ที่ 4,054 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานรอบ 6 เดือนปี 2567 อยู่ที่ 861.9 ล้านบาท ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่เงินสดสุทธิติดลบต่อเนื่องนับตั้งแต่ ปี 2565 โดยในปี 2565 ติดลบอยู่ที่ 765.96 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ติดลบสูงถึง 1,135.75 ล้านบาท และล่าสุด 6 เดือนปี 2567 อยู่ที่ระดับ 225.76 ล้านบาท
ในอดีต หากนับช่วง 5 ปีที่ผ่านมามูลค่ามาร์เก็ตแคปของ BEC เคยอยู่ที่ระดับสูงถึง 28,200 ล้านบาทเมื่อปี 2564 แต่ล่าสุด ข้อมูล ณ วันที่ 6 พ.ย.2567 พบว่า มูลค่ามาร์เก็ตแคปของ BEC เหลือเพียง 8,320 ล้านบาท ลดลงกว่า 70% หรือหายไปเกือบ 2 หมื่นล้านบาท จากระดับดังกล่าว
และเมื่อไม่นานมานี้นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เคยประเมินกำไรสุทธิ ไตรมาส 3/67 จะลดลงจากไตรมาสก่อนตามฤดูกาลที่เม็ดเงินโฆษณาจะชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่เป็น High season และภาพยนตร์ “มานะแมน” (เข้าฉาย 8 ส.ค.) ทำรายได้เปิดตัวไม่ดีนัก แต่ยังคาดกำไรเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อน
ขณะที่ไตรมาส 4/67คาดเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี จากเม็ดเงินโฆษณาโตตามฤดูกาลและลุ้นปัจจัยบวกทางอ้อมจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ท และ ภาพยนตร์ “ธี่หยด 2” (BEC, MAJOR JV 50/50) เข้าฉาย (10 ต.ค.) ที่ภาคแรกทำรายได้จากการฉายทั่วประเทศมากกว่า 400 ล้านบาท ยังคาดกำไรสุทธิปี 67 ที่ 291 ล้านบาท เติบโต 39% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.25 บาท